เกิดเรื่องยุ่งในหลายจุดของโลกที่รัฐบาลไทยและเอกชนของเราต้องระดมสมองเพื่อตั้งหลักรับสถานการณ์ให้ได้
เริ่มมีการพยากรณ์กันว่าถ้าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยืดเยื้อและยกระดับขึ้นอย่างที่เห็น เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือ recession อย่างน่ากลัว
หากเกิดเช่นนั้น หนีไม่พ้นว่าไทยเราก็จะต้องโดนลูกหลงด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จีนฟาดกับมะกัน
ญี่ปุ่นพันตูกับเกาหลีใต้
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 4 ครั้งใน 12 วัน
ฮ่องกงระอุด้วยการประท้วง
อินเดียกับปากีสถานเผชิญหน้ารอบใหม่เรื่องแคว้นแคชเมียร์
สหรัฐอัดอิหร่านต่อเนื่อง
เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยแห่งความไร้เสถียรภาพของโลกที่กำลังนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว
และยังอาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายด้านการเมือง, สังคมและความมั่นคงอีกด้วย
สหรัฐกับจีนเริ่มเปิดฉากสงครามรอบใหม่อย่างดุเดือด
ทรัมป์เปิดฉากสงครามการค้าระลอกใหม่ ด้วยการ "ทำตามสัญญา" ที่ได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในส่วนที่เหลืออีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้ จะเริ่มเก็บภาษีในอัตรา 10%
และขู่ต่อว่าถ้าไม่ได้รับการตอบสนองจากจีนก็อาจจะปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้านี้ไปที่ระดับ 25% เหมือนชุดแรกที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
ตอนแรกก็ดูเหมือนอะไรๆ จะเริ่มดีขึ้นหลังประเด็นหัวเหว่ยเริ่มผ่อนคลาย นึกว่าเขาจะใช้วิธี "รุกแล้วถอย" เพื่อต่อรองกับจีน
แต่จีนไม่ยอม นอกจากประกาศระงับการซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐแล้ว ปักกิ่งยังเดินหน้าปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับดอลลาร์ให้อ่อนสุดใน 11 ปี
เหลือ 7 หยวนต่อห 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้เกิดผลต่อเนื่องมากมาย
จากสงครามการค้ากลายเป็นสงครามเทคโนโลยี และบานปลายกลายเป็นสงครามค่าเงินขึ้นมา
กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า บริษัทต่างๆ ของจีนได้หยุดซื้อสินค้าทางการเกษตรของสหรัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกทั้งยังสำทับว่าอาจจะต้องกำหนดมาตรการรีดภาษีผลิตภัณฑ์จากฟาร์มอเมริกาที่ซื้อหลังจากวันที่ 3 สิงหาคมอีกด้วย
ทรัมป์โวยทันทีว่าปักกิ่งไม่ทำตามสัญญาว่าจะซื้อสินค้าทางการเกษตรของสหรัฐในปริมาณมากขึ้น
จีนเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองรายใหญ่ของโลก อีกทั้งยังเป็นพืชผลส่งออกที่มีมูลค่ามากสุดของสหรัฐ
ทรัมป์แก้เกมด้วยการจัดงบประมาณพิเศษสูงสุด 2,800 ล้านดอลลาร์ เพื่อชดเชยเกษตรกรสหรัฐที่สูญเสียรายได้จากข้อพิพาททางการค้า
เหตุผลง่ายนิดเดียว...เพราะเกษตรกรเหล่านี้คือฐานเสียงอันสำคัญของทรัมป์ที่เตรียมจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า
ตัวเลขทางการบอกว่า จีนซื้อถั่วเหลือง 130,000 ตัน, ข้าวฟ่าง 120,000 ตัน, ข้าวสาลี 60,000 ตัน, เนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู 40,000 ตัน และฝ้าย 25,000 ตันจากสหรัฐ ระหว่างวันที่ 19 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม
ตัวเลขรวมระบุว่า จีนซื้อสินค้าเกษตรปีที่แล้ว 14.3 ล้านตัน ถือว่าน้อยที่สุดในรอบ 11 ปี และยังเหลืออีกราว 3.7 ล้านตัน ที่ยังรอการส่งมอบ
ที่ผ่านมาจีนเคยซื้อถั่วเหลืองของอเมริกาถึง 32.9 ล้านตัน ในปี 2017 ก่อนสงครามการค้าจะปะทุขึ้น
ผลกระทบต่อไทยคือสินค้าจีนจะถูกลงในสายตาคนไทย แต่สินค้าไทยจะแพงขึ้นในสายตาคนจีน
นักท่องเที่ยวจีนอาจลังเลที่จะเดินทางออกนอกประเทศ
ถ้าจีนเล่นเกมอัตราแลกเปลี่ยน หนีไม่พ้นว่าจะกระทบต่อไทยด้วย
รัฐบาลและนักธุรกิจไทยต้องวางกลยุทธ์ตั้งรับให้ทันก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากไปกว่านี้
นั่นหมายถึงการสร้างความสามารถในการบริหารความไม่แน่นอน และพร้อมจะปรับตัวตามสภาพการณ์แห่งความผันผวนให้เต็มที่!.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |