8 ส.ค. 2562 นายไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ในฐานะประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับ นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง ว่า ได้เสนอแนวทางในการจัดตั้งกองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) เพื่อทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่จะหมดอายุลงในสิ้นปี 2562 ซึ่งกองทุน SEF จะมีบทบาทในการตอบโจทย์การสนับสนุนการลงทุนของประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการสนับสนุนให้เกิดการออมเงินผ่านตลาดทุน ซึ่งได้ผลตอบแทนดี เพื่อให้มีเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ รวมทั้งเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนของคนไทยด้วย
“เห็นตรงกันว่ากองทุน LTF สิ้นสุดบทบาทไปแล้ว หลังจากดำเนินการมากว่า 15 ปี มาถึงวันนี้โจทย์ของประเทศเปลี่ยน กองทุน SEF คือกองทุนใหม่ที่ได้มีการเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณา โดยยังคงแนวทางเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีไว้ แต่จะมีการปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ รมว.การคลังเห็นด้วย และขอนำไปพิจารณาต่อ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มีการนำเสนอรายละเอียด” นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับหลักการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ลงทุนในกองทุน SEF คือ การช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โดยมีการเสนอให้ผู้ที่มีรายได้สูงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีลดลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง คือ เดิมจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาท ลดเหลือ 2.5 แสนบาท เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่าที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนมาเยอะแล้ว ส่วนผู้ลงทุนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลาง เดิมจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไม่เกิน 15% ของรายได้ จะเพิ่มเป็น 30% เป็นเครื่องสะท้อนได้ชัดเจนว่ากองทุนใหม่นี้จะเอื้อประโยชน์ให้กับคนรายได้น้อยถึงปานกลางมากขึ้น โดยเงื่อนไขการลงทุนจะต้องถือหน่วยลงทุน 7 ปีปฏิทิน
นอกจากนี้ จะมีการกำหนดแนวทางการลงทุนของกองทุน SEF อย่างชัดเจน ไม่ใช่การลงทุนอิสระเหมือนที่ผ่านมา โดยเบื้องต้น 65% จะต้องลงทุนในหุ้นที่มีความยั่งยืน มีธรรมาภิบาล เป็นต้น และอีกส่วนหนึ่งจะต้องลงทุนในกองทุนที่รองรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) ส่วนที่นอกเหนือจากนี้ให้สามารถไปลงทุนอะไรก็ได้
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ยังได้มีการเสนออีกหลายประเด็นให้รัฐบาลพิจารณา เช่น การทำหน้าที่เป็นนักลงทุนสัมพันธ์ โดยมีบทบาทหลักในการสื่อสารข้อมูลกับกลุ่มนักลงทุนเกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการ โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจที่จะช่วยรัฐบาลผลักดันเรื่องความยั่งยืน กระตุ้นให้ภาคธุรกิจตระหนักรู้ถึงการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ มองว่ากองทุนใหม่นี้จะไม่สร้างภาระที่มากขึ้นให้กับภาคการคลังของประเทศแน่นอน เพราะต้องเข้าใจว่าปัจจุบันคนที่ออมเงินผ่านการลงทุนส่วนใหญ่เป็นคนที่มีรายได้มาก ซึ่งในที่นี้จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีลดลง
อย่างไรก็ดี ยังได้มีการเสนอให้ทบทวนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นในเรื่องการบริหารเงิน ซึ่งเดิมตามกฎหมายเสนอให้มีการตั้งบริษัทขึ้นมาบริหารเงินในส่วนนี้ แต่ภาคเอกชนยังไม่เห็นด้วย และมองว่าควรจะเปิดกว้างในการจัดหาบริษัทที่เข้ามาบริหารเงินได้มากขึ้น ส่วนบริษัทที่มีกองทุนประเภทเดียวกันอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องบังคับให้มี กบช. อีก ซึ่ง รมว.การคลังเห็นด้วยในหลักการ แต่ยังไม่ได้มีการตอบรับอะไร
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |