โลกวุ่นไม่จบ เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ เล่นเกมการเมืองแบบกดดัน, ต่อรองและแลกหมัดโดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อเศรษฐกิจโลก
ล่าสุด แกประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนเข้าอเมริกาอีกชุดหนึ่ง มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านเหรียญฯ ในอัตรา 10% ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้...หากจีนยังไม่ซื้อสินค้าเกษตรของอเมริกาในจำนวนที่วอชิงตันพอใจ
นั่นย่อมแปลว่าสงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ที่ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้
ทั้งๆ ที่ทรัมป์กับสี จิ้นผิง ได้ประกาศที่โอซากา ระหว่างการประชุมกลุ่ม G-20 เมื่อเร็วๆ นี้ทั้งสองต้องการจะประกาศ “สงบศึกชั่วคราว” เพื่อให้ระดับรัฐมนตรีกลับไปสู่โต๊ะเจรจา
ตอนนั้นดูเหมือนว่าบรรยากาศจะกระเตื้องขึ้น เพราะทรัมป์เขียนข้อความขึ้นทวิตเตอร์บ่อยๆ ว่าแกกับสี จิ้นผิง มีความเป็น “เพื่อนซี้” กันสูงมาก
ทรัมป์เกริ่นตลอดเวลาว่ากำลังจะมี deal กับจีน แปลว่ามีทางตกลงกันได้ค่อนข้างแน่นอน
แต่พอคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายที่นำโดยระดับรัฐมนตรีพบกันรอบสองรอบก็ไม่สามารถตกลงกันได้ในรายละเอียดหลายประเด็น
เพราะแม้จีนจะบอกเสมอว่าพร้อมจะเจรจา ไม่ต้องการทำสงครามการค้ายืดเยื้อ เพราะไม่มีผู้ชนะ มีแต่ผู้แพ้ แต่เมื่อทรัมป์ใช้วิธีกดดันอย่างไม่ลดละ ไม่ให้เกียรติคู่เจรจา และใช้โซเชียลมีเดียกล่าวร้ายจีนอย่างต่อเนื่อง สี จิ้นผิง ก็ไม่อาจจะถอยได้
เพราะหาก สี จิ้นผิง ถอย ก็จะถูกประชาชนคนจีนมองว่ายอม “หงอ” อเมริกา
นั่นย่อมทำให้สถานภาพของสี จิ้นผิง ในจีนอ่อนเปลี้ยลงไปด้วย
สี จิ้นผิง จะปกครองจีนได้ต้องให้คนจีนเห็นว่ามีความเป็นตัวของตัวเอง จะปกปักรักษาศักดิ์ศรีของคนจีนในเวทีระหว่างประเทศอย่างสุดฤทธิ์
ทรัมป์ขู่จีนว่าให้ยอมตามเงื่อนไขของเขาเสียตอนนี้ เพราะหากแกชนะเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองในอีกประมาณสองปีจากนี้ไป แกก็จะยิ่งกดดันจีนได้มากกว่าเดิม
ตรงนี้แหละที่จีนมองว่าทรัมป์ล้ำเส้น ใช้วาทะข่มขู่รังแกอย่างไม่ไว้หน้า ไม่มีทางที่จีนจะกลัวเป็นอันขาด
สี จิ้นผิง พยายามรักษาลีลาท่าทีของสิงห์ ไม่พูดมาก เรียกร้องให้เจรจาหาทางออกร่วมกัน
เรียกได้ว่า สี จิ้นผิง ใช้ลีลา “ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” อย่างน่าศึกษา
ขณะที่ทรัมป์วางฟอร์มนักเลงปากซอยที่ใช้เสียงเอะอะโวยวายขู่เข็ญคู่ต่อสู้ด้วยความเชื่อว่านั่นเป็นวิธีเดียวที่จะเอาชนะได้
จีนเชื่อว่าตัวเองรอได้ เพราะอย่างไรเสีย สี จิ้นผิง ก็อยู่ในตำแหน่งไปได้โดยไม่มีกำหนด เพราะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญไปแล้ว
อย่างไรเสีย สี จิ้นผิง ก็จะอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศนานกว่าทรัมป์แน่นอน
ดังนั้นช่วงนี้จึงต้องกัดฟัน ใช้ความอึด รอคอยให้ทรัมป์ถูกการเมืองภายในประเทศเล่นงานให้งอมเสียก่อน ทรัมป์เองก็ใช้วิธีการยันกับจีนเพื่อหาเสียงกับผู้สนับสนุนตนเอง เพราะแกเชื่อว่าสไตล์แบบกร้าวๆ นั่นแหละจะทำให้ฐานเสียงของแกมีความมั่นใจ และจะลงคะแนนให้อีกสมัยหนึ่ง
จึงไม่ต้องสงสัยว่าทรัมป์ใช้การเผชิญหน้ากับจีนเป็นเครื่องมือหาเสียงเพื่อกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่ง
เดิมที ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไมค์ ปอมเปโอ และรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หวาง อี้ ที่มาประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคงจะหาเวลานอกรอบเพื่อจิบกาแฟหาทางออกจากสงครามการค้า
ที่ไหนได้ ทรัมป์เล่นส่งข้อความขึ้นทวิตเตอร์ก่อนว่าจะอัดจีนต่อด้วยการเตรียมขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกชุดหนึ่ง แปลว่าปอมเปโอกับหวาง อี้ ก็ไม่ต้องคุยอะไรกันที่กรุงเทพฯ ปล่อยให้ทรัมป์เล่นเกมบลัฟ สี จิ้นผิง ผ่านโซเชียลมีเดียก่อน
ทั้งหมดนี้ต้องโทษทรัมป์ที่พยายามจะปั่นสถานการณ์ให้ตึงเครียด โดยหวังว่าจะเป็นวิธีการเดียวที่เขาสามารถบังคับให้จีนต้องยอมแก
เป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง และท้ายที่สุดอเมริกาจะทำลายเศรษฐกิจโลกด้วยการทำให้สงครามการค้ายืดเยื้อ
ทรัมป์เล่นเกมอันตรายอย่างนี้ ทำให้จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่ดูเป็นผู้ใหญ่, สุขุมและมีเหตุมีผลขึ้นมาทันที!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |