‘ทรัมป์’ร่อนสารถึง‘บิ๊กตู่’ ยินดีเป็นนายกฯอีกสมัย


เพิ่มเพื่อน    

 กระทรวงต่างประเทศเผย "โดนัลด์ ทรัมป์" ส่งสารแสดงความยินดีกับ "บิ๊กตู่" นั่งนายกฯ อีกสมัย ในฐานะหุ้นส่วนและมิตรเก่าแก่ พร้อมให้การสนับสนุนการคืนสู่ประชาธิปไตย เปิดโอกาสให้พัฒนาความเป็นพันธมิตรเต็มประสิทธิภาพ ปากหวานอยากเจออีก ขณะที่ "เทวัญ" เผยเตรียมจีบนายกฯ จัดรายการพบประชาชนทางทีวีอีก

    กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่เอกสาร ใจความว่า "เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีสารแสดงความยินดีต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยและต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย 
    พร้อมทั้งได้ระบุด้วยว่า ในฐานะหุ้นส่วนและมิตรที่เก่าแก่ สหรัฐพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทย โดยการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยของไทยได้เปิดโอกาสอย่างมากให้สหรัฐและไทยสามารถพัฒนาความเป็นพันธมิตรที่มีมายาวนานได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้ นายทรัมป์ยินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีระหว่างการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ที่นครโอซากา และหวังว่าจะได้พบกันอีกครั้งเร็วๆ นี้" 
    อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ยังคงถูกพรรคฝ่ายค้านโจมตีอย่างหนักจากประเด็นถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้อยความ
    นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงงานที่ได้รับมอบหมายว่า หลักๆ ตนได้กำกับดูแลในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) กรมประชาสัมพันธ์ และสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งในส่วนของ สคบ. ตนได้รับการร้องเรียนว่าการดำเนินการเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความล่าช้า ซึ่งเมื่อตนเข้ามาดูแลแล้ว ก็ยืนยันจะทำให้ดีที่สุด รวดเร็ว และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ไม่ใช่เสือกระดาษอย่างที่มีการพูดถึงอย่างแน่นอน ขอเวลาตนทำงานก่อน และเชื่อว่าจากนี้จะค่อยๆ ปรับดีขึ้น 
    ผู้สื่อข่าวถามถึงงานในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ที่กำกับดูแล จะยังคงให้มีรายการนายกฯ พบประชาชนเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ นายเทวัญกล่าวว่า คิดอยู่เหมือนกัน แต่ขอคุยกับนายกรัฐมนตรีก่อนว่าจะยังคงให้มีรายการของนายกฯ เหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ส่วนตัวเห็นว่า รายการลักษณะอย่างนี้ก็น่าจะดีเพราะเป็นการสื่อสารให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง แต่ในส่วนของรายการอาจจะทำในรูปแบบใหม่ให้ดูสนุกขึ้น และอาจจะต้องขยายไปในโซเชียลฯ ต่างๆ ด้วยเพื่อให้มีความหลากหลาย
          สำหรับงานในส่วนของพระพุทธศาสนานั้น นายเทวัญกล่าวว่า จะมีการหารือกันเกี่ยวกับบัตรประชาชนพระ ซึ่งทางสำนักพุทธฯ ได้รายงานให้ทราบว่า ที่ผ่านมามีการทำบัตรประชาชนพระ 60-70% แล้ว และสำหรับพระสงฆ์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันจะเห็นข่าวอยู่บ่อยๆ นั้น จะมีการพูดคุยกับทางเจ้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจจะมีการเปิดศูนย์ออนไลน์รับเรื่องราวต่างๆ หากใครไปพบคนที่แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ หรือไปเจอพระสงฆ์ที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ก็สามารถร้องเรียนมาที่ศูนย์นี้ได้ ซึ่งจะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วไปดูทันที
    นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงภาพรวมการอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมาว่า รัฐบาลมีการกระทำขัดรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 161 เรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำงานของคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงการจัดทำนโยบายที่ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ในมาตรา 162 และ 164  
    เขาบอกว่า ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลไม่มีการพูดถึงในส่วนของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในแผนงานที่รัฐบาลประกาศไว้ ว่าจะนำงบประมาณมาจากไหน รัฐบาลเลือกที่จะไม่ลงรายละเอียดที่มาของงบประมาณ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ว่าแต่ละนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมาจะใช้งบประมาณจากไหน ซึ่งการแสดงเจตนาของรัฐบาลเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบต่อประชาชนและรัฐสภา สมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีการบรรจุถึงโครงการนโยบายและที่มาของงบประมาณอย่างชัดเจน แต่ของรัฐบาลนี้ไม่ให้ความสำคัญ ซึ่งหากวันนี้เป็นรัฐบาลเพื่อไทยแล้วทำคำแถลงนโยบายแบบนี้ ไม่พ้นต้องโดนยื่นถอดถอนอย่างแน่นอน 
     ส.ส.เชียงใหม่ยังกล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีที่ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณของรัฐบาลว่า “สักวันหนึ่งจะรู้ว่าทำไมไม่ควรพูด” ว่าถือเป็นการพูดที่สร้างความสับสนให้กับประชาชน และไม่เป็นผลดีกับสังคม ประโยคที่นายวิษณุกล่าวน่าจะเป็นประโยคที่ไม่สมควรพูดมากที่สุดมากกว่า
ถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ
    นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ระบุว่า จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคลิปจากสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ยืนยันได้ว่า พลเอกประยุทธ์กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 161       ปัญหาที่ตามมาจึงเกิดการถกเถียงกันอย่างมากจากกระแสสังคมนักวิชาการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมาแสดงความกังวลว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและมีผลสมบูรณ์หรือไม่ และมีผลกระทบทางการเมืองทำให้คณะรัฐมนตรีเข้ารับทำหน้าที่โดยถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
    โดยหลักสากลและจารีตประเพณีในระบบประชาธิปไตยในอารยธรรมโลก การกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณของผู้นำประเทศก่อนทำหน้าที่รัฐบาล มีความสำคัญเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งทุกๆ รัฐบาลจะต้องทำหน้าที่กล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตามข้อกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัดและถูกต้องทุกประการ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นและเงื่อนไขบังคับก่อนที่จะเข้าทำหน้าที่รัฐบาล ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่บริหารประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย รัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรตามรัฐธรรมนูญต้องปฏิญาณตนก่อนรับหน้าที่ อาทิ ตุลาการ ผู้พิพากษา รัฐมนตรี ซึ่งถือว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายสูงสุด คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ 
    นายนรินท์พงศ์ระบุว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์จะต้องกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้อยคำ ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของการถวายสัตย์ฯ ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับถวายสัตย์ปฏิญาณโดยตัดถ้อยคำว่า “ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ออกไป ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญในการที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถละทิ้งถ้อยคำสำคัญนี้ได้อย่างเด็ดขาด 
    "การปฏิญาณไม่ครบถ้อยคำที่บัญญัติไว้ จะมีผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรง ถึงขนาดอาจทำให้รัฐบาลชุดนี้เป็นโมฆะ ไม่สามารถทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ต่อไป ซึ่งเป็นผลพวงมาจากพลเอกประยุทธ์ทำหน้าที่ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ และอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาร้ายแรงในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 157 ได้เช่นกัน"
     นายนรินท์พงศ์แนะนำว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือให้ผู้เกี่ยวข้องในรัฐบาลรีบออกมาชี้แจงและทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อให้สังคมได้รับทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้น โดยออกมาแสดงความรับผิดชอบยอมรับความบกพร่อง และรีบแก้ไขข้อบกพร่องโดยเร็ว เพราะหากยังปล่อยให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินเนิ่นนานไป ก็จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ยาก และจะเป็นปัญหากับสิ่งที่รัฐบาลได้ทำลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
"พิชัย"ติทุกเรื่อง
    ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ “วิพากษ์ & เสนอแนะ นโยบายรัฐบาลประยุทธ์การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และการป้องกันผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ทำได้จริงหรือภาพลวงตา” จัดโดยสภาที่ 3 ว่ารู้สึกเป็นห่วงเศรษฐกิจของไทยในปีนี้อย่างมาก เพราะสัญญาณเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังแย่ถึงแย่มาก การขยายตัวในไตรมาสที่สองที่จะประกาศกลางเดือนนี้ น่าจะออกมาแย่มากพอๆ กับไตรมาสแรก
    เขากล่าวว่า ที่น่าตกใจและประหลาดใจอย่างมากคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เพิ่งแสดงความไม่รู้เรื่องทางเศรษฐกิจในการอภิปรายนโยบาย กลับกล้ารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ หลังจากที่เป็นนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลตำรวจ และดีเอสไอแล้ว และยังปล่อยให้เกิดระเบิดใน กรุงเทพฯ 5 แห่งในเวลาใกล้กันได้ และยังจะมาดูแลเศรษฐกิจที่ไม่ถนัดอีก ซึ่งจะยิ่งทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปีนี้ทำให้สงสัยว่าเศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร
    นายพิชัยเชื่อว่า การที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทนตัวเอง มีเหตุผล 2 ประการคือ นายสมคิดน่าจะทราบดีว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อย่างไรก็ย่ำแย่  การตั้ง พล.อ.ประยุทธ์เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในปีนี้ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ และนายสมคิดทราบดีว่าไม่สามารถคุมรองนายกฯ และรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นได้ ขนาดช่วง 5 ปีที่คุมได้หมดยังทำเศรษฐกิจล้มเหลว นี่คุมไม่ได้เลยจะยิ่งล้มเหลวเข้าไปใหญ่ จึงอาศัย พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาช่วยคุม
    อดีต รมว.แรงงานกล่าวว่า การที่นายสมคิดอภิปรายในสภา ซึ่งฟังแล้วเหมือนจะดี คล้ายว่าความผิดพลาดล้มเหลวทั้งหมดในปัจจุบันเกิดจากรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำมา 5 ปีแล้ว แต่ไม่มีผลงานอะไร และพูดเหมือนว่าได้วางรากฐานไว้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้สร้างรากฐานอะไรไว้เลย เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดมาเป็นผลงาน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นความล้มเหลวทั้งหมด 
    จึงอยากให้ข้อคิด 8 ประเด็น ดังนี้ 1.การที่นายสมคิดบอกว่าสามารถทำเศรษฐกิจของประเทศเติบโตมาทุกปี จาก 1% มา 3% มา 3.3 มา 3.8 จนมา 4% แต่ ปีนี้จะทรุดอีก ซึ่งใช้เวลาถึง 5 ปี ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพมาก และเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียนมาตลอด เหมือนอยู่ในภาวะกบต้ม แต่นายสมคิดกลับกล้านำมาเป็นผลงาน ความจริงคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต้องฟื้นแบบก้าวกระโดด เช่น ในปี 54 ที่เศรษฐกิจโตเพียง 0.1% เพราะน้ำท่วมใหญ่ แต่พอปี 55 กลับโตได้ถึง 7.2% เป็นต้น หรือในสมัย รัฐบาลอภิสิทธิ์ช่วงวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เศรษฐกิจติดลบ 2.3% แต่อีกปีถัดมาก็โตได้ 7.5% ไม่ได้โตแบบซึมๆ เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา และยังกล้านำมาโม้อีก
เศรษฐกิจแย่เพราะ กปปส.
        2. ตามที่นายสมคิดได้โทษรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทำเศรษฐกิจไทยปี 2556 โตได้เพียง 2.9% ปี 2557 โต 1% ในไตรมาสแรกปี 2558 ติดลบ 4% แต่นายสมคิดไม่ได้บอกว่าสาเหตุหลักของเศรษฐกิจตกต่ำมาจากการประท้วงปิดบ้านปิดเมืองของ กปปส. ซึ่งนำมาสู่การปฏิวัติ จึงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะถ้าไม่ประท้วงเศรษฐกิจจากปี 2555 ที่โตได้ถึง 7.2% จะส่งโมเมนตัมให้ปี 2556 โตได้ 4% และปีต่อๆ มาน่าจะโตได้ 4-5 % เป็นอย่างต่ำ ไม่ใช่ 2-3% เหมือน 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากโยงไปถึงการอภิปรายในสภาที่เผยกันว่ามี การเตรียมการกันมา 3 ปีแล้ว อีกทั้งแกนนำ กปปส.ก็ได้เป็นรัฐมนตรีกันหลายคนใน ครม.นี้ ก็คงน่าจะพอบอกได้ว่าใครควรรับผิดชอบกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงนั้น
    3.นายสมคิดอ้างว่าการส่งออกไทยตกต่ำมาตลอด เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี ซึ่งไม่จริง ตอนเศรษฐกิจโลกดีเศรษฐกิจไทยก็ไม่ดี ขยายตัวต่ำมาตลอด ส่งออกย่ำแย่มาตลอด ในขณะที่ประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม กลับขยายการส่งออกได้มากมาตลอด ซึ่งขึ้นกับการบริหารของรัฐบาลมากกว่า 5 ปี ส่งออกไทยโตเฉลี่ยเพียงปีละ 2% กว่าเท่านั้น 4. นายสมคิดอ้างว่านักลงทุนไทยไม่ลงทุนเพราะความเสี่ยงทางการเมือง ความจริงคือไม่เฉพาะแต่นักลงทุนไทยเท่านั้น นักลงทุนต่างประเทศก็ยิ่งไม่ลงทุน สิ่งที่นายสมคิดไม่พูดถึงคือความเสี่ยงทางการเมืองนี้เกิดมาจากการทำปฏิวัติรัฐประหารใช่หรือไม่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่การแข่งขันของไทยลดต่ำลงตามการประเมินของ WEF ซึ่งการปฏิวัตินี้ใครเป็นคนทำ นอกจากนี้ การลงทุนใน EEC ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่ได้มากจริงอย่างที่โม้ อยากให้นายสมคิดได้เปิดเผยตัวเลขการลงทุนที่แท้จริงในแต่ละปีทั้งหมด
    5.การที่นายสมคิดพูดเหมือนดูถูกคนจนว่าคนจนเห็นอะไรก็คว้าแล้ว เพราะคิดแบบนี้ใช่หรือไม่ ถึงตลอด 5 ปีรัฐบาลถึงทำให้ประชาชนลำบากและยากจนอย่างมาก และเพิ่งมาแจกเงินผ่านบัตรคนจนก่อนเลือกตั้งไม่นาน เพื่อหวังให้ประชาชนเลือกพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้งต้องการทำให้คนจนมากๆ เพื่อให้สามารถซื้อเสียงได้ใช่หรือไม่ เพราะสมัยเศรษฐกิจดี งานวิจัยบอกว่าซื้อเสียงไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง 6.การที่นายสมคิดอ้างว่าไม่ได้ช่วยคนรวยเพราะคนรวยรวยอยู่แล้ว แต่ความจริงคือตลอด 5 ปีนี้ คนรวยของไทยรวยขึ้นไปอีกคนละหลายแสนล้าน จากการรายงานของนิตยสารฟอร์บส์ ในขณะที่คนจนจนลงมาก จนทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ของความเหลื่อมล้ำ นายสมคิดจะอธิบายได้อย่างไร
ฟันธงแก้เศรษฐกิจไม่ได้
    7.การที่นายสมคิดอ้างว่าต่างประเทศจัดอันดับไทยดีขึ้น ก็อยากให้นายสมคิดได้ดูว่าอันดับที่ดีขึ้นนั้นดีกว่าสมัยก่อนการปฏิวัติหรือไม่ เช่น อันดับความสะดวกที่คุยนักคุยหนาว่าดีขึ้นอยู่ที่ 27 แต่ก่อนปฏิวัติอยู่ที่ 18 เป็นต้น อีกทั้งอยากให้พูดถึงหลายองค์กรหลักต่างประเทศที่จัดอันดับไทยแย่ลงด้วย และหลายสื่อหลักต่างประเทศที่วิจารณ์ไทยอย่างหนักด้วย เช่น วิจารณ์ไทยย้อนหลัง 30 ปี และบอกไทยเป็นคนป่วยของอาเซียนและจะป่วยหนัก 8.สมคิดบอกที่ประเทศมีปัญหาเพราะเอาชนะกันมากไป ต้องถามว่าใครเอาชนะมากไป ตลอด 10 กว่าปีนี้ ใครทำทุกวิถีทางที่จะชนะ ทั้งปฏิวัติและทั้งร่างรัฐธรรมนูญแปลกประหลาดที่ใช้กันอยู่ ขนาดดิอีโคโนมิสต์ยังบอก พล.อ.ประยุทธ์บิดทุกกฎหมายเพื่อสืบทอดอำนาจ และที่สำคัญคืออยากถามนายสมคิดว่า ตามข้อมูลที่ได้รับมา จริงหรือไม่ที่นายสมคิดเป็นคนไปบอก พล.อ.ประยุทธ์ให้เรียกนายพิชัยไปกักตัว 7 วันในปี 2558 เพราะห่วงว่านายพิชัยจะพูดความจริงทางเศรษฐกิจ จะทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือนายสมคิด ถ้าเป็นจริง ก็อยากถามว่าใครกันแน่ที่เอาชนะมากเกินไป โดยไม่ดูความเสียหายของประเทศ
    นี่เป็นแค่บางเรื่องเท่านั้น หากจะเอาทุกเรื่องที่พูดไม่หมด หรืออาจจะไม่ตรงความจริงยังมีอีกมาก ดังนั้นจึงอยากให้นายสมคิดได้พูดให้ครบ และอยากให้ประชาชนได้พิจารณาทุกด้าน อย่าเชื่อแค่ลีลาและท่าทางการพูดโดยไม่พิจารณาความจริงว่าเศรษฐกิจไทยล้มเหลวมา 5 ปี และยังไม่มีทิศทางที่จะดีขึ้นได้อย่างไร
    ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจอีก 4 ปีข้างหน้า คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ผ่านมา เพราะมีทีมเศรษฐกิจเดิม แม้จะมีรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็เป็นเพียงการเสริมทัพรอบนอกเท่านั้น ไม่ได้แก้ปัญหาหลักร่วมกับทีมเศรษฐกิจหลักของประเทศ โดยเฉพาะการแก้ปัญหายางพารา ที่ขณะนี้มาตรฐานยางสากลกำลังเปลี่ยนกฎใหม่ 
    ดังนั้นกระบวนการของไทยก็ต้องเปลี่ยนด้วย ไม่ใช่แก้ปัญหาเพียงนำยางพารามาทำถนนเท่านั้น ส่วนปาล์มน้ำมันในต่างประเทศก็กำลังจะลดการใช้ลง ประเทศไทยเองก็ต้องปฏิรูปโครงสร้างเกษตรกรครั้งใหญ่ เพราะนโยบายประกันรายได้คงไม่เพียงพอ พร้อมมองว่านโยบายต่างๆ ของรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นประชานิยม ขณะที่การเลือกตั้งที่ผ่านมาก็เป็นเพียงการสร้างฐานเสียงเท่านั้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"