1 ส.ค. 2562 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในการกล่าวล่าวปาฐกถาในงาน"เจาะลึกแผนพีดีพีทิศทางพลังงานไทยภายใต้รัฐบาลใหม่" ว่ากระทรวงมีนโยบายที่จะปรับทิศทางแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(พีดีพี2018) ใหม่ให้สามารถเข้าถึงชุมชนมากขึ้น และเป็นกลไกสำคัญที่จะสนับสนุนให้สามารถเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายประชาชนในระดับฐานราก โดยจะเปิดรวบรวมความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูว่าอะไรที่เหมือนและต่างกัน เพื่อนำมาเป็นข้อวิพากษ์ ปรับปรุงให้ตอบสนองทิศทางพลังงานในอนาคต ซึ่งไม่ใช่เป็นการรื้อและทำใหม่ แต่เรียกได้ว่าเป็นการปรับปรุงแผนพีดีพี2018 ครั้งแรก
เนื่องจากแผนพีดีพี ไม่ใช่มิติการลงทุนของของภาคเอกชนรายใหญ่อย่างเดียว ในอนาคตจะต้องมองมองถึงแนวทางที่จะส่งเสริมไปยังประชาชนระดับฐานรากของประเทศ โดยจะต้องใช้ศักยภาพของชุมชนมาเป็นประโยชน์ให้กับธุรกิจพลังงานมากที่สุด เนื่องจากเป็นกุญแจสำคัญที่จะไปยกระดับรายได้ของคนในชุมชน ซึ่งต้องมองในหลายมิติ อย่างเช่น อุปสรรค์ใดที่ทำให้ชุมชนเข้ามาสู่กลไกพลังงานได้ยาก จะต้องปลดล็อคให้เข้าสู่ระบบก่อน เช่นการส่งเสริมที่เข้าถึงในวงแคบเกินไป หรือการไม่เชื่อมโยงภายในชุมชน โดยมั่นใจว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะพัฒนาให้ไทยสามารถเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานของของอาเซียนได้
"ความคิดของผม แผนจะต้องอยู่บนรอยต่อของความเปลี่ยนแปลง เพราะปัจจุบันปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมากในยุคหลายปีที่ผ่านมา และจะเห็นได้ว่าแนวโน้มของโลก ด้านพลังงานทดแทนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะเข้ามาทดแทนทิศทางพลังงานเดิม ๆ โดยเมื่อดูจากการกำหนดทิศทางพลังงานของสหประชาชาติ(ยูเอ็น) ได้กำหนดไว้ 2 เรื่องได้แก่ 1.ต้องเป็นพลังงานที่พี่น้องประชาชนแบกรับภาระได้ ทิศทางราคาต้องต่ำลง 2.จะต้องเป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อม และมันจะเชื่อมโยงไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลก"นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายสนฐิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนในเรื่องของแผนปรับปรุงค่าไฟ ภายใต้แผนพีดีพี 2018 มองว่าแผนนี้อาจจะต้องมีการปรับโครงสร้างราคาจากเดิมที่อยู่ในระดับราคา 3.58 บาทต่อหน่วย มองว่าราคาไฟฟ้ายังสามารถปรับให้ถูกลงได้อีก ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในแผนพลังงานไฟฟ้าราคาถูก สำหรับคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้า คือต้องสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ให้ได้รับสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลงกว่าชุมชนอื่น ซึ่งอาจจะต้องบรรจุอยู่ภายใต้แผนพัฒนากองทุนไฟฟ้า และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดือนต.ค.นี้
นอกจากนี้ จะมีการปรับหลักเกณฑ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยในปีงบประมาณ 2563 มีกรอบวงเงินอยู่ 12,000 ล้านบาท โดยจะปรับให้มีแนวทางการพิจารณาโครงการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดโครงการที่เกิดผลประหยัดพลังงานอย่างแท้จริง โดยจะมีการปรับเปลี่ยนวิธี เงื่อนไขและการติดตามประเมินผล สอดรับกับพลังงานชุมชนและกระจายไปยังระดับฐานรากให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศ คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้
“โรงไฟฟ้าชุมชนหลักการเราจะเน้นพลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวภาพ รวมถึงไฟฟ้าจากขยะที่จะต้องหารือกับมหาดไทยในส่วนนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมกันนี้ได้มอบให้ไปดูพื้นที่ว่าสายส่งที่ใดจะรับซื้อไฟฟ้าจากชุมชนเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงไฟฟ้าได้ทันทีเมื่อมีความชัดเจนก็จะทราบถึงพื้นที่แน่ชัดไม่ต้องไปวิ่งเต้นขอผลิตไฟ”นายสนธิรัตน์กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |