ว่าด้วย...คุณค่าแห่งความปกติธรรมดา


เพิ่มเพื่อน    

 อาจเป็นเพราะหลังๆ นี้...ไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นหน้า เห็นตา ท่านอดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มานานพอสมควร เลยอดไม่ได้ต้องลองเข้าไปสอดส่อง หรือ สอดแนม แถวๆ เฟซบุ๊ก ของท่านกันแทนที่ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ช่วยให้เกิดการ บรรลุธรรม ขั้นพื้นฐานอยู่พอประมาณ คือธรรมะอันว่าด้วย ความธรรมดา หรือ ความเป็นปกติ นั่นแล...

                                                               ---------------------------------------------------------------

                คือถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอก...โดยบุคลิกหรือลักษณะของท่านช่วงหลังๆ นี้ ต้องเรียกว่า...ดู สดใส ขึ้นมาเป็นกอง ไม่ถึงกับอวบอ้วนอูมฟูมเหมือนอย่างแต่ก่อน และไม่ถึงกับผ่ายผอม เหี่ยวๆ แห้งๆ คล้ายๆ กับอยู่ในช่วงจังหวะ สมดุล อะไรประมาณนั้น สามารถยิ้มเริงร่า ออกงาน ออกการ ได้อย่างอิสระ เสรี ไม่ว่าจะเป็นงานพูดคุยทางวิชาการ การให้สัมภาษณ์ การเสวนา สัมมนาเรื่องบ้าน เรื่องเมือง ไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดไปจนถึงเรื่อง แมว เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยไม่มีลักษณะอาการของความพยายามที่จะต้องขมึงตึงเครียด เหมือนอย่างครั้งที่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือครั้งที่ต้องผ่าทางตัน หาทางทำให้พรรคการเมืองของตัวเอง สามารถบรรลุชัยชนะได้เกินกว่า 100 เสียงขึ้นไป ฯลฯ...

                                                                --------------------------------------------------------------

                พูดง่ายๆ ว่า...การกลับคืนไปสู่ ความธรรมดา หรือความสามัญ นั้น น่าจะเป็นอะไรที่มีประโยชน์เอามากๆ  ไม่ว่าในทางร่างกายหรือในทางจิตใจ คล้ายๆ กับท่านอดีตรัฐมนตรีและอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างท่าน บัญญัติ สิบประการ (บรรทัดฐาน) นั่นแหละ การที่ไม่คิดจะรับตำแหน่ง ประธานรัฐสภา ด้วยเหตุผล ข้ออ้างว่า ต้องการเพียงแค่เป็น ส.ส.ธรรมดาๆ ก็น่าจะส่งผลในลักษณะไม่แตกต่างกันไปซักเท่าไหร่ ช่วงวันแถลงนโยบายรัฐบาลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่ บัญญัติ สิบประการ นั่งนิ่งๆ สบายๆ ยิ้มมั่ง หัวเราะมั่งไปตามเรื่อง ตามราว แต่สำหรับท่านอดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรค ชวน หลีกภัย ของเรานี่สิที่ดันต้อง รับใช้ชาติ ในตอนแก่ ในตำแหน่งประธานรัฐสภา กลับหนีไม่พ้นต้องหน้านิ่ว คิ้วขมวด หรือถึงขั้นต้องขมึง ตึงเครียดในบางครั้ง บางครา ชนิดกลัวเหลือเกินว่าหลอดเลือดจะสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจไม่ทันเอาง่ายๆ...

                                                                  ----------------------------------------------------------

                ยิ่งถ้าเป็นนายกฯ บิ๊กตู่ ที่สืบทอดอำนาจมาจวนจะครบ 6 ปีเข้าไปแล้ว...ก็แทบไม่ต้องพูดถึง โอกาสที่จะต้องเจอกับภาวะ ต่อมทอมซิลอักเสบ หรือเจอกับโรค นิ้วล็อก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะไม่เพียงแต่ต้องกู่ก้อง ร้องตะโกน ต้องออกอาวุธตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามแบบดอกต่อดอก แถมยังต้องชี้โน่น ชี้นี่ ประกอบคำบรรยาย คำอภิปราย คำตอบโต้ระหว่างพี่ๆ น้องๆ ชนิดต้องตัดพี่-ตัดน้องกันกลางสภาฯ เอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้น...ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่ดูสูงส่ง วิลิศมาหรา มากไปด้วยอำนาจตบะ บารมี ท่ามกลางเสียงชม เสียงด่า ในแบบไหน อย่างไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อจำต้องสูญเสีย ความปกติธรรมดา ในตัวตนของตนลงไปซะแล้ว ไม่ว่าด้วยความจำเป็นบังคับ หรือด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม อะไรต่อมิอะไรมันไม่น่าเบิร์ดๆ-สบายๆ มากมายซักเท่าไหร่ ถึงจะพยายาม ออกเทป (แต่งเพลง) อีกซักกี่ชุด กี่เวอร์ชั่น โอกาสที่จะถูกนำไปมัดแหนม มัดข้าวต้มมัด ย่อมเป็นไปได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นๆ กันมาแล้ว นั่นแล...

                                                                      --------------------------------------------------------

                แต่ต้องถือเป็นเรื่อง แปลกแต่จริง เอามากๆ...ที่บรรดามนุษย์ปุถุชนคนเดินดินทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่แล้ว...มักไม่อยากเป็น คนธรรมดา มากมายซักเท่าไหร่ ต่างอยากจะเป็นอย่าง บิ๊กตู่ หรือ พี่ชวน ซะเป็นหลัก คืออยากมีสถานะ อำนาจ มีบทบาท บารมี ไม่ว่าในฐานะใดต่อฐานะใดก็ตามที หรือถ้าพูดอย่างพวกเด็กๆ รุ่นใหม่ ก็คืออยากจะเป็น ซัมบอดี้ ไม่คิดที่จะยอมเป็น โนบอดี้ แบบหัวเด็ด ตีนขาด แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อดันต้องกลายเป็น ซัมบอดี้ ขึ้นมาจริงๆ กระทั่ง ดาวรุ่งดวงใหม่ หรือ ดาวสภาฯ รายใหม่ ก็แล้วแต่จะเรียก อย่างคุณน้อง ทิม พิธา อะไรนั่น ถึงจังหวะนี้...ไม่รู้ว่าจะดีใจ หรือเสียใจ กับการ โชว์พาว ในสภาฯ ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจเอามากๆ ด้วยเหตุเพราะความเป็น ซัมบอดี้ นั่นเอง ที่มันกลายเป็นแรงดึงดูด ชักนำ เชิญชวนให้ใครต่อใคร ไม่ว่าบอดี้ไหน ต่อบอดี้ไหน กลุ้มรุมเข้ามายำมือ ยำตีน ต่อความเป็นตัวตนของตัวเอง จนแทบไม่หลงเหลือ ความปกติธรรมดา ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย...

                                                                       -------------------------------------------------------

                ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว...ความปกติ-ธรรมดาทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น ต้องถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเอามากๆ สำหรับมวลมนุษย์ทุกๆ คน ไม่ว่าจะสูง-ต่ำ-ดำ-ขาว เศรษฐี-ยาจก คนใหญ่-คนโต หรือปุถุชนคนเดินดิน ด้วยเหตุเพราะมันเป็น  พื้นฐานแห่งธรรมชาติ นั่นแหละทั่น เป็นสิ่งที่สอดคล้อง กลมกลืน ไปกับ ความเป็นธรรมชาติ แถมยังเป็นบ่อเกิดของสิ่งที่เรียกๆ กันว่า สติ และ ปัญญา ไปจนกระทั่งคุณธรรม ศีลธรรม ในแต่ละชนิด แต่ก็น่าเสียดายเอามากๆ...ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อย ดันยอมแลกสิ่งเหล่านี้ ไปกับสิ่งที่ล้วนแล้วแต่เป็น มายาภาพ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ บารมี ทรัพย์สิน-เงินทอง ฯลฯ ภายใต้ความผันผวน ปรวนแปร ทางการเมือง ไปจนถึงความวิปริต ผิดเพี้ยน ของบ้านเมือง มันจึงมักเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยอันเนื่องมาจาก ผู้ที่อยากเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการเป็น หรือ ผู้ที่อยากเป็นอย่างที่คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็น โดยไม่มีใครคิดจะ เป็นอย่างที่ตัวเองเป็น  เอาเลยแม้แต่น้อย หนทางที่จะนำไปสู่ ครรลอง-คลองธรรม มันเลยถึง เดินไม่ค่อยสะดวก ซักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะ ความปกติธรรมดา มันมักละลายหายไปกับอำนาจ วาสนา บารมี มาโดยตลอด...นั่นแล...

                                                                         --------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก ท่านพุทธทาสภิกขุ... ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ และผลที่ได้รับจากหน้าที่ จงเป็นอยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็จะง่ายในการเรียนรู้ธรรมะไปตั้งแต่ต้นทีเดียว...

                                                                          ---------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"