ยังคงมีควันหลงจากศึก “แถลงนโยบาย” ต่อรัฐสภาของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะ กรณี “ดาวเด่น” ทั้งหญิงและชายอย่าง “ปารีณา ไกรคุปต์” ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ และ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ลามและดรามาโยงไปถึง “วนิดา คุนผลิน” อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยและอดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ออกโรงมาป้องน้องชาย อย่าง “อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน” ที่โดดเข้ามา “แจม” เรื่องของ 2 ดาวเด่นเอง แต่งานนี้กลับไปไกลถึงตีนโรงตีนศาลกันเลยทีเดียว ซึ่งก็น่าสนใจและเป็นสีสันได้เป็นอย่างดีกับการเมืองไทยยุคท่องบ่น “ปฏิรูป” ได้เป็นอย่างดี ...๐
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ยังคงเป็นประเด็นร้อนในศึกอภิปราย นั่นคือ การย้อนวันวาน “รัฐประหาร 22 พ.ค.2557” เมื่อ “วันมูหะหมัดนอร์ มะทา” หัวหน้าพรรคประชาชาติอภิปรายว่า “บิ๊กตู่” พูดในที่ประชุม “สโมสรทหารบก” ถนนวิภาวดีรังสิตว่า “เตรียมการรัฐประหารมา 3 ปีกว่า” ซึ่งข้ามวันมาไม่นาน “ภูมิธรรม เวชยชัย” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็มาทวีตสำทับว่าได้ยินเฉกเช่นกัน แต่แล้วก็พลิกผันเมื่อ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กเล่าวินาทียึดอำนาจว่าไม่มีคำดังกล่าวแต่อย่างใด งานนี้เรียกว่าเป็นการเหยียบเบรกดังเอี๊ยด เล่นเอาสังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวขึ้นมาแล้ว ซึ่งคนทั่วไปและปุถุชนทั้งหลายอาจมองว่า “นักการเมือง” ก็ย่อมมีสายเลือด “เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้น จะให้ชัวร์ว่าคำพูดดังกล่าวมีจริงหรือไม่ก็ฟังคนที่เป็นกลาง ณ ขณะนั้น ...๐
แล้วก็ไม่ใช่ใครที่ไหน “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. และอดีตสมาชิก ปชป. ที่เล่าเรื่องดังกล่าวอย่างละเอียดยิบแบบยิ่งกว่าถ่ายทอดสดการประชุม ซึ่ง “สมชัย” ในขณะนั้นเป็น กกต.ที่ต้องยอมรับว่ามีความเป็นกลางและยังไม่ถูกมาตรา 44 เด้งพ้นเก้าอี้ บันทึกของเขาจึงต้องถือว่าน่าเชื่อถือที่สุดในบรรดานักการเมืองที่ออกตัวทั้งหลาย เพราะอย่างไรลึกๆ ก็ต้องมีผลประโยชน์ฝังแน่นอยู่ งานนี้เลยเป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีกับประโยคที่บอกว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” จริงๆ เพราะขนาดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อย่างนี้ยังบิดเบือนบิดพลิ้วกันได้ ...๐
หันกลับมาเรื่องการแบ่งงาน 5 รองนายกฯ 1 รมต.ประจำสำนักนายกฯ กันบ้าง เพราะต้องเรียกว่าได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ๆ ให้กับวงการเมืองอีกระลอก หลังจาก ครม.ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ไปแล้วรอบหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ที่มีรัฐมนตรีมากที่สุด และกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังที่มี รมช.น้อยที่สุด อย่างไม่เคยมีมาก เพราะการแบ่งงานครานี้ต้องบอกว่า “ลุงตู่” รวบอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งกว่านายกฯ สมัยใด เพราะนอกจากคุมกลาโหมแล้ว ยังคุม “ตำรวจ” รวมทั้ง “ดีเอสไอ” และยังนั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ครม.เศรษฐกิจเข้าไปอีก ...๐
ในขณะที่ 5 รองนายกฯ นั้นก็ต้องบอกว่าต่อไปคงไม่มีใครกล้าใช้รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจได้ เพราะเล่น มีถึง 3 รองนายกฯ ที่ดูแล ทั้ง “สมคิด จาตุรศรีพิทักษ์-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์-อนุทิน ชาญวีรกูล” ที่สำคัญยังเป็นการแบ่งงานแบบไม่เคยเห็นในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน เมื่อรองนายกฯ จุรินทร์มีหน้าที่แค่กำกับดูแล 3 กระทรวง ซึ่งพรรค ปชป.ดูแล โดยไม่มีหน่วยงานอื่นๆ ให้ไปดูแลแต่ประการใด…๐
อีกรายที่น่ามึนน่างงเช่นกันคือ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่อยู่ในมือ “เทวัญ ลิปตพัลลภ” เพราะแม้ให้ดูแลหน่วยงานทั้งสิ้น 5 หน่วยงาน อันประกอบด้วย กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา และสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) แต่ในความเป็นจริงแล้ว 4 ใน 5 หน่วยงานก็อยู่ภายใต้การดูแลของ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ มีเพียงสำนักงานพัฒนาพิงคนครเท่านั้นที่ได้ดูแบบเต็มก้น งานนี้ก็ไม่รู้ว่าบรรดาข้าราชการและพนักงานใน 4 องค์กรเหล่านี้ จะเรียกว่าเป็นข้า 2 นายหรือไม่อย่างไร แล้ว หากเกิดกรณี “วิษณุ-เทวัญ” คนหนึ่งไปซ้าย คนหนึ่งไปขวา ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทางปฏิบัติ ...๐
ท.ศักดิ์
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |