แขวนระเบิดป่วนปัตตานีซ้ำ จับแล้ว9รับเป็นขบวนการ!


เพิ่มเพื่อน    

  หวิดไป! คนร้ายแขวนระเบิดไปป์บอมบ์ดักขบวนแห่เจ้าเล่าเอี๊ยะก๋งที่ปัตตานี โชคดีถูกตรวจพบก่อน EOD เข้าพื้นที่พบเป็นระเบิดรูปแบบเดียวกับที่ระเบิดในเขตเทศบาลยะหริ่งหลายจุดเมื่อ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่ ผบ.ฉก.ปัตตานีแจงความคืบหน้าคดีตามยึดรถได้หลายคัน จับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว 9 คน สารภาพสิ้นแบ่งงานกันทำ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายัน OIC ไม่ก้าวก่ายปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จะนำไปเป็นโมเดลแก้ปัญหาในภูมิภาคอื่น

    เมื่อเช้าวันที่ 3 มีนาคม พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผบ.ฉก.ปัตตานี รับรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ทพ.44 ได้จัดกำลังลาดตระเวนเส้นทางจากเทศบาลตะลุบันไปหาดวาสุกรี เพื่อตรวจสอบเส้นทางให้งานประเพณีสมโภชศาลเจ้าเล่าเอี๊ยะก๋งที่จะทำพิธีลุยน้ำโดยลงทะเล 
     เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงที่บริเวณสามแยกถนนปากน้ำ  บนรั้วกำแพงสำนักงานการศึกษาเอกชนอำเภอสายบุรี   ถนนปากน้ำ เขตเทศบาลตำบลตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระบอกน้ำที่ติดกับรถจักรยานวางอยู่ ลักษณะเหมือนเหตุระเบิดหลายจุดที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 11 ก.พ.61 
    โดยครั้งนี้ตั้งไว้ข้างกำแพง มีป้ายโปสเตอร์บังอยู่ จึงได้จัดกำลังเข้าปิดกั้นพื้นที่และแจ้งให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบ ปรากฏว่าเป็นระเบิดจริง จึงได้ทำการเก็บกู้และนำยิงทำลาย ไม่มีใครได้รับอันตราย  พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องชนิดไปป์บอมบ์แบบตั้งเวลาโดยนาฬิกาคาสิโอ น้ำหนักประมาณ 10-15 กก. บรรจุใส่ในกระบอกน้ำที่นักจักรยานนิยมใช้
    จากการสอบสวนทราบว่า จุดดังกล่าวเป็นจุดที่ขบวนแห่เจ้าเล่าเอี๊ยะก๋งจะผ่านเพื่อไปลงน้ำในทะเล คนร้ายนำมาวางไว้เพื่อสร้างสถานการณ์และหวังผล แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่พบเสียก่อน อย่างไรก็ตามยังคงมีการจัดงานต่อไป
    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา เวลา 08.25 น. มีเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดในพื้นที่เขตเทศบาลตำบลยะหริ่ง จำนวน 2 จุด จุดที่ 1 ป้ายหน้าโรงเรียนยะหริ่ง พื้นที่ ม.2 ต.ยามู อ.ยะหริ่ง, จุดที่ 2 ทางแยกข้างโรงเรียนยะหริ่ง พื้นที่ ม.2 ต.ยามู อ.ยะหริ่ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย               ที่บ้านรับรอง มทบ.46 ค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดย พล.ต.จตุพร กลัมพสุต  ชี้แจงความคืบหน้าเหตุลอบวางระเบิด อ.ยะรัง, อ.ยะหริ่ง และ อ.สายบุรี จว.ป.น. รวม 10 จุด เมื่อวันที่ 11 ก.พ.  ซึ่งมีสิ่งที่แตกต่างจากการก่อเหตุที่ผ่านมา คือผู้ก่อเหตุนำรถจักรยานมาใช้ในการก่อเหตุ จากการบังคับใช้กฎหมายสามารถตรวจยึดจักรยานได้จำนวน 4 คัน ใน 3 พื้นที่ ดังนี้
    1.พื้นที่อำเภอสายบุรี สามารถตรวจยึดได้จำนวน 2 คัน ซึ่งมีลักษณะตรงกับรถจักรยานต้องสงสัยจากภาพวงจรปิด ไม่พบวัตถุระเบิด
    2.พื้นที่อำเภอยะรัง สามารถตรวจพบและเก็บกู้ระเบิดได้จำนวน 1 คัน
    3.พื้นที่อำเภอมายอ ตรวจพบจักรยานและยึด จำนวน 1 คัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับรถจักรยานที่ใช้ในการก่อเหตุ ไม่พบวัตถุระเบิดหลังเกิดเหตุ 
จับแล้ว 9 ราย
    พล.ต.จตุพรกล่าวว่า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีสั่งการให้ทุกหน่วย ทั้งทหาร ตำรวจ ปกครอง ได้ประชุมและติดตามการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ผลจากการบูรณาการงานด้านการข่าว หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมจังหวัดปัตตานี หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ร่วมกับสืบมั่นคงศูนย์ปฏิบัติการตำรวจส่วนหน้า, กองกำกับสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องสงสัยคนแรกเมื่อวันที่ 14 ก.พ. หลังก่อเหตุ 3 วัน และผลการดำเนินกรรมวิธีซักถามนำไปสู่การขยายผลเข้าตรวจค้นใน 4 พื้นที่ ตรวจยึดรถยนต์ 2 คัน และกระสุนปืนบางส่วน และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยแล้วรวม 9 คน ให้การยอมรับสารภาพ 8 คน ทำให้ทราบถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง การก่อเหตุ สามารถกำหนดแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
          กลุ่มที่ 1 ผู้สั่งการและกลุ่มสนับสนุนประสานงานระเบิดและรถจักรยาน จำนวน 4 คน ซึ่งเป็นบุคคลที่มีหมายจับ ป.วิอาญา 2 คน อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุม
    กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ประสานงานและผู้ร่วมวางแผน จำนวน 9 คน จับกุมแล้ว 4 คน ทุกคนให้การยอมรับสารภาพ โดยให้ข้อมูลของสถานที่วางแผนก่อนเกิดเหตุ รวมถึงนำชี้สถานที่จัดเก็บรถจักรยาน ซึ่งมีบางคนที่จับกุมตัวให้การว่าถูกหลอกใช้บ้านของญาติตนเองในการประกอบรถจักรยานและเป็นที่รวมพลก่อนเกิดเหตุ 
    กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ก่อเหตุ จำนวน 4 คน เป็นผู้ขี่รถจักรยานไปจอดที่เกิดเหตุ 2 คน และผู้ขี่รถจักรยานยนต์ไปรับหลังก่อเหตุ 2 คน ซึ่งได้ออกหมายจับแล้ว และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการติดตามจับกุมต่อไป
          กลุ่มที่ 4 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรับ-ส่งจักรยาน มีผู้เกี่ยวข้องจำนวน 6 คน ซึ่งพิสูจน์ทราบได้ว่ามีสถานที่จับเก็บจำนวน 4 แห่ง ก่อนเกิดเหตุ 2 วันได้มีการว่าจ้างรถตู้ ไปรับรถจักรยานรวม 10 คัน และนำไปแจกจ่ายใน 3 พื้นที่ ปัจจุบันได้ออกหมายจับ ป.วิอาญาแล้วจำนวน 1 คน
ออกหมายจับเพิ่ม 11 คน
          จากภาพรวมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด พบว่ามีหลายคนโดนหลอกลวงไม่ทราบเกี่ยวกับการก่อเหตุมาก่อน จึงได้พิจารณาออกหมายจับเฉพาะผู้มีเจตนาร่วมก่อเหตุ จำนวน 11 คน
    พล.ต.จตุพรเผยว่า เมื่อ 2 มี.ค. ศาลจังหวัดปัตตานี อนุมัติออกหมายจับ ป.วิอาญา รวม 11 หมาย ซึ่งจับกุมแล้ว 6 คน และหลบหนี 5 คน
        1.นายมาหะมะซอปรี เซ็งดามาแล หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 112/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/จับแล้ว
          2.นายอิสมาแอ หรือซิดิ หรือดิ๊แยนา หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 113/2561 ลงวันที่  2 มี.ค.61/จับแล้ว              3.นายมูหามะ หรือมะ ยูโซะ หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 114/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/จับแล้ว
         4.นายซูไฮมี หรือมิง จารง หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 116/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/หลบหนี
         5.นายกูมะ หรือดิง ลือบา หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 117/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/หลบหนี
         6.นายมะรุดี หรือเปาะเต๊ะ ชิมะ หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 118/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/หลบหนี
         7.นายอาหามัด หรือเปาะวอ อีแต หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 119/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/หลบหนี
          8.นายอัสมาน หรือบาบอ กาซา หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 120/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/จับแล้ว
          9.นายซุลกิฟลี หรือลี จารง หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 121/2561 ลง 2 มี.ค.61/จับแล้ว
         10.นายฟีดาอี หรือโต๊ะเยาะ อับดุลลาเต๊ะ หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 122/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/หลบหนี
         11.นายมะนาเซร์ จะปะกียา หมายจับศาลจังหวัดปัตตานี ที่ 123/2561 ลงวันที่ 2 มี.ค.61/จับแล้ว
     พล.ต.จตุพรกล่าวว่า กอ.รมน.ภาค 4 ยังคงยึดมั่น ในหลักการบังคับใช้กฎหมายและแนวทางสันติวิธีด้วยความเที่ยงธรรม ตามหลักฐาน พยานบุคคล พยานแวดล้อม และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ในการควบคุมตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินกรรมวิธี ซักถาม ขยายผล และดำเนินทางคดีตามกฎหมาย
OIC ไม่ก้าวก่าย
     ด้าน พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยถึงการมาเยือนของคณะผู้แทนประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือโอไอซี เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 1 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมาว่า ทางโอไอซีได้ชื่นชมการทำงาน แนวทางการแก้ปัญหา และนโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลไทย ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ และสามารถนำไปเป็นแบบอย่างให้กับประเทศภูมิภาคอื่นๆ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาด้วย
         โดยโอไอซีได้แสดงความคิดเห็นประเด็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่า ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาภายในประเทศ ที่โอไอซีจะไม่ก้าวล้ำ พร้อมให้การสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหา โดยเฉพาะกระบวนการพูดคุยสันติสุข ย้ำจุดยืนปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้เป็นประเด็นความขัดแย้งในทางศาสนา เพราะประเทศไทยได้ให้สิทธิ เสรีภาพ ส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาอิสลามอย่างเต็มที่ 
    นอกจากนี้  โอไอซีชื่นชมนโยบายพาคนกลับบ้าน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นแนวทางส่งเสริมแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี โอไอซีต้องการให้พี่น้องชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ความสำคัญกับการศึกษาสายสามัญ อาชีพ ให้มากขึ้น เพื่อใช้ประกอบอาชีพ และเรียกร้องให้ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ขอให้มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทย ปฏิบัติตามหลักคำสอนทางศาสนาอิสลามในเรื่องรักเพื่อนมนุษย์ทุกเชื้อชาติ ศาสนา อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
    ที่กองทัพภาคที่ 4 และหน่วยงานความมั่นคงภาค 4 ส่วนหน้า ภายหลังที่ทางองค์กรเครือข่ายภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทางกองทัพภาคที่ 4 ทบทวนการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงที่ผ่านมา พบมีการกระทำที่เข้าข่ายการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หรือที่เรียกว่า SLAPPs (Strategic Lawsuit against Public Participations) 
ยุติหลอกลวง ปชช.
    พ.อ.ปราโมทย์ระบุว่า เป็นการแถลงการณ์ลวงโลกพร้อมเรียกให้องค์กรดังกล่าวยุติหลอกลวงประชาชน  โดยมีถ้อยคำแถลงตามที่ได้ปรากฏข่าวกลุ่มเครือข่ายเฉพาะกิจเพื่อปกป้องพลเรือนและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ยุติการคุกคามและปิดปากประชาชน ที่ได้เผยแพร่เมื่อ 2 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมานั้น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ทำการตรวจสอบประเด็นดังกล่าวแล้ว พบว่าเป็นการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของระบบอำนาจรัฐ ดังนั้น จึงขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจ ดังนี้
         1.สถานการณ์ปัญหา จชต.ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา นอกจากความสูญเสียของพี่น้องประชาชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีพฤติกรรมแบบสุดโต่งแล้ว ยังพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่แอบอ้างว่าเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ที่คอยเคลื่อนไหว บิดเบือนข้อเท็จจริง และทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่รัฐดังปรากฏให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการละเมิดสิทธิและการซ้อมทรมาน ทั้งเรื่องการทำหนังสือร้องเรียนไปยังองค์กรต่างๆ การทำรายงานกล่าวหาเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และต่อมาภายหลังเมื่อทำการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่เป็นจริงตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นความจงใจทำลายความน่าเชื่อถือและทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล
        2.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ให้ความสำคัญและยึดมั่นในหลักการบังคับใช้กฎหมายด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความสงบสุขของประชาชนภายใต้หลักนิติรัฐ เป็นการปฏิบัติภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิดทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติและไม่สามารถละเว้นการปฏิบัติได้ ทั้งนี้ ได้ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนในทุกขั้นตอนของการบังคับใช้กฎหมายด้วยความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบได้ทุกกรณี แต่ทุกครั้งที่มีการบังคับใช้กฎหมาย กลับถูกต่อต้านและบิดเบือนใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานจากกลุ่มที่แอบอ้างว่าเป็นนักปกป้องสิทธิ ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยออกมาปกป้องสิทธิให้พี่น้องประชาชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนร้ายที่ใช้ความรุนแรง ทำให้สังคมเข้าใจว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและสนับสนุนให้มีการใช้ความรุนแรง
        3.การแจ้งความดำเนินคดีกับ บ.ก.ผู้จัดการออนไลน์ และนายอิสมาแอเตะ เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ละเมิดกฎหมายด้วยการจงใจเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีหน่วยงานของรัฐ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานภาครัฐได้รับความเสียหาย ดังนั้นการขอพึ่งอำนาจของกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการคุกคามหรือปิดปากประชาชนตามที่กล่าวอ้างและบิดเบือนแต่อย่างใด
         4.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การเคารพในสิทธิและเสรีภาพของพี่น้องประชาชนที่สามารถแสดงออกโดยไม่ละเมิดต่อกฎหมาย ดังนั้นจึงขอให้กลุ่มที่กำลังเคลื่อนไหว อย่านำปัญหาความมั่นคงในพื้นที่มาบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มหรือผลประโยชน์ทางการเมือง และให้ยุติหลอกลวงประชาชน ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่อาจทำให้สังคมเกิดความสับสน วุ่นวาย เพราะเป็นพฤติกรรมที่ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมาย สำหรับองค์กรต่างๆ ที่มาร่วมเป็นเครือข่ายเฉพาะกิจ และสื่อมวลชน ขอให้ใช้ดุลยพินิจในการแสดงออกและนำเสนอข้อมูลข่าวสารบนพื้นฐานของความจริง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่มีนัยแอบแฝง ที่เข้ามาฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้ขยายวงกว้าง ที่ทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"