การประท้วงที่ฮ่องกงทำท่าจะลากยาวไม่จบง่ายๆ ทำให้เกิดคำถามว่าอนาคตของเกาะแห่งนี้จะเข้าสู่ภาวะ "ขาลง" หรือ "เปลี่ยนผ่าน" ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่หรือไม่
การเผชิญหน้าครั้งล่าสุดระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจเมื่อเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา (เป็นสุดสัปดาห์ที่ 8 ต่อเนื่องกัน) มีความรุนแรงหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง
ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางยิงใส่ผู้ประท้วงที่พยายามจะบุกเข้ายึดสถานที่ราชการหลายจุด เพื่อตอกย้ำถึงการแสดงออกที่ไม่ยอมรับท่าทีของทางการ โดยเฉพาะแนวทางที่สั่งจากปักกิ่งโดยตรง
กลุ่มผู้ประท้วงอ้างว่าตำรวจจงใจยิงใส่ผู้ประท้วง ไม่ได้ยิงขึ้นฟ้าหรือยิงเป็นการส่งสัญญาณเตือน
Joshua Wong หนึ่งในแกนนำผู้ต่อต้านเอารูปขึ้นทวิตเตอร์ให้เห็นว่า แก๊สน้ำตาที่ตำรวจฮ่องกงใช้นั้นสั่งเข้าจากสหรัฐฯ
บนปลอกแก๊สน้ำตาระบุชัดว่า ผู้ใช้จะต้องไม่ยิงใส่ตัวบุคคลโดยตรงเพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้
เขาเริ่มการรณรงค์ทางโซเชียลมีเดีย เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งห้ามขายอุปกรณ์และเครื่องมือ "ปราบฝูงชน" ให้รัฐบาลฮ่องกง เพราะเกิดกรณีจงใจใช้ไปในทางที่ผิดกฎหมายและนำไปใช้ละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันก่อน ปักกิ่งส่งสัญญาณเตือนผู้ประท้วงว่าไม่เคารพกฎหมาย ทำลายหลักนิติรัฐหรือ rule of law สร้างความระส่ำระสายและความเดือดร้อนให้สังคมส่วนรวม
โฆษกปักกิ่งเตือนว่าผู้ประท้วงได้ล้ำเส้นกฎหมายแล้ว ทำให้บ้านเมืองไร้ขื่อแป
จีนประกาศว่า "จะไม่ทนต่อการกระทำดังกล่าวอีกต่อไป"
ตีความได้ว่านี่เป็นการขู่อย่างเป็นทางการจากปักกิ่ง ซึ่งก็คงจะปักหลักประเมินสถานการณ์วันต่อวันต่อไป
ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดตลาดมาวันจันทร์ร่วงลงอย่างน่าใจหาย โดยเฉพาะหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ก่อนหน้านี้ดูเหมือนนักลงทุนที่นั่นจะยังมีความมั่นใจว่า สถานการณ์การเมืองคงจะไม่เสื่อมทรุดมากกว่าที่เห็น แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วการเผชิญหน้าระหว่างผู้ต่อต้านปักกิ่งกับรัฐบาลกลางจีนกำลังทำท่าจะบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจหาทางปรองดองกันได้แน่นอน
เพราะแม้ว่าสภานิติบัญญัติและผู้บริหารฮ่องกงจะยอมถอนร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปแล้ว แต่ผู้ประท้วงก็ยังมีความระแวงอยู่ว่าทางการจีนอาจจะใช้วิธีการอื่นๆ เพื่อเอามาตรการควบคุมประชาชนคนฮ่องกงมาใช้อีกจนได้
ผู้ประท้วงจึงยืนยันว่านางแครี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงต้องลาออกสถานเดียว
แม้เธอจะออกมาขอโทษและรับปากว่าจะถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังไม่พร้อมจะไขก๊อก ณ ตอนนี้ ยกเว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลปักกิ่งจะปรับแผนสู้ใหม่ด้วยการยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อเดินหน้าอีกสองก้าวในวันข้างหน้า
นี่ย่อมถือได้ว่าเป็นวิกฤติการเมืองที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่อังกฤษส่งเกาะนี้คืนให้จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 หรือ 22 ปีก่อนนี้
การที่คนฮ่องกงออกมาประท้วงร่างกฎหมายนี้ในจำนวนเป็นล้านนั้นไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมดา เพราะสะท้อนว่าคนฮ่องกงมีความไม่เชื่อใจรัฐบาลจีนเลยแม้แต่น้อย
ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง แม้จะไม่ได้ออกมาพูดจาดุดันต่อการประท้วงที่ฮ่องกง (ภายในระบอบ "หนึ่งประเทศสองระบบ") แต่ดูจากปัจจัยการเมืองทั้งหลายแล้วน่าจะเห็นได้ชัดว่า อย่างไรเสียสี จิ้นผิงก็ถอยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ไม่ต้องแปลกใจหากรัฐบาลจีนจะออกมาตรการที่เข้มข้นและขึงขังมากขึ้นในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นร่างกฎหมายใหม่เพื่อปรามผู้ต่อต้านให้รู้ถึงความจริงใจของปักกิ่งที่จะถอยไม่ได้
โดยเฉพาะเรื่อง "ความสงบเรียบร้อย" ของเกาะแห่งนี้ ที่มีความสำคัญในแง่ของการเป็นศูนย์กลางทางการค้า การเงิน และการลงทุนระหว่างประเทศ
ตั้งแต่มีความวุ่นวายบนเกาะแห่งนี้ นักธุรกิจและผู้มีอันจะกินทั้งหลายก็แสดงท่าทีไม่มั่นใจในอนาคตของเกาะแห่งนี้อีกต่อไป
มีข่าวหลายกระแสที่ยืนยันว่า คนฮ่องกงจำนวนไม่น้อยกำลังวางแผนจะอพยพออกไปอยู่ต่างถิ่นด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เช่น
อยู่ฮ่องกงไม่ได้เพราะขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
อยู่ฮ่องกงไม่ได้เพราะการค้าการขายกำลังจะเป็นขาลง เพราะจีนจะเข้ามากุมกฎกติกาที่เป็นคอมมิวนิสต์ มิใช่การค้าเสรีที่เคยเป็นจุดแข็งของฮ่องกง
อยู่ฮ่องกงไม่ได้เพราะเกาะแห่งนี้ไม่มีอนาคตแล้ว
คู่แข่งของฮ่องกงตลอดเวลาที่ผ่านมาคือสิงคโปร์ และระยะหลังจีนก็พยายามสร้างเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนเทียบเสมอฮ่องกง
วันนี้เห็นได้ชัดว่าฮ่องกงกำลังจะเข้าสู่สภาวะ "ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป" ไม่ว่าจะมองจากแง่ดีหรือมุมร้ายก็ตาม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |