อตัมมยตา!!!


เพิ่มเพื่อน    

(1)

        การที่ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับความเป็น ตัวกู-ของกู ไปด้วยกันทั้งสิ้น อย่างบรรดาเราๆ-ทั่นๆ จะไม่หยิบเอาอะไรต่อมิอะไรที่มันไหลผ่านหู-ตา-จมูก-ปาก-ลิ้น-กาย-ใจ ไปกระทำปฏิกิริยากับความคิดความรู้สึก จนนำไปสู่การ ปรุงแต่ง ให้เกิดอารมณ์บวก อารมณ์ลบ อารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง อารมณ์ Negative-Positive ทั้งหลาย ว่าไปแล้ว...น่าจะเป็นอะไรที่ยากซ์ซ์ซ์เอามากๆ หรือออกจะขัดกับธรรมชาติ ฝืนธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง...

(2)

        แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าว่ากันตามคำชี้แนะ ชี้นำ ของบรรดาพวกพระๆ การฝึก การหัด การอบรม เพื่อให้เกิดการฝืนธรรมชาติ ขัดกับความเป็นไปตามธรรมชาติในลักษณะที่ว่า ย่อมส่งผลให้บุคคลนั้นๆ เกิดศักยภาพ เกิดขีดความสามารถ ที่จะอยู่ เหนือธรรมชาติ (ที่มีการปรุงแต่ง) หรือ หลุดพ้นไปจากธรรมชาติ (ที่มีการปรุงแต่ง) ไปสู่ธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง คือธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่ง ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น หรือธรรมชาติแห่งความเป็น นิพพาน แห่งความเป็น ไกวัลยธรรม นั่นแล...

(3)

        การที่จะฝึก จะหัด จะอบรม เพื่อให้เกิดการฝืนธรรมชาติในแบบที่ว่านี้ มันจึงไม่ง่ายซักเท่าไหร่ หรือหนักไปทาง ยากซ์ซ์ซ์ฉิบหาย อย่างที่เคยพูดๆ ไว้แล้วนั่นแหละทั่น และสิ่งหนึ่งที่พอจะช่วยให้เกิด ความเป็นไปได้ ขึ้นมามั่ง ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก สภาวะแวดล้อม รอบๆ ข้าง ของบรรดาเราๆ-ทั่นๆ นั่นเอง คือจะมานั่งฝึก นั่งกำหนดจิต กันตามโรงแรม ตามศูนย์การค้า หรือตามสถานที่ที่มันอาจเป็นตัวชักนำให้จิตไขว้เขว ให้เกิดการปรุงแต่งได้ง่ายๆ อันนั้น...คงไม่น่าจะเข้าท่าซักเท่าไหร่นัก บรรดาพระ หรือผู้ที่มาก่อนพระ อย่างพวกโยคีทั้งหลาย ท่านจึงแนะให้ไปอยู่ในป่า ไปหาสถานที่สงัดๆ สถานที่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งมันมีความ ปกติ ความ ธรรมดา อยู่ภายในตัวตนของมัน และสามารถจับกฎเกณฑ์ได้ไม่ยาก...

(4)

        บรรดา ศาสดา ทั้งหลาย...ท่านจึงมักรู้ๆ อะไรขึ้นมา ขณะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่า บนภูเขา หรือไม่ก็ในถ้ำ ไม่ว่าพระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ ไปจนพระนบีโมฮัมหมัดก็ตาม ดังนั้น...ใครที่อยากจะ รู้ หรืออยากจะ หลุด ไปจากธรรมชาติแห่งการปรุงแต่งที่ว่า อันดับแรก...คงหนีไม่พ้นไปจาก การต้องเสาะแสวงหา สภาวะแวดล้อม ที่ค่อนข้างเอื้ออำนวยกับการฝึก การหัด การอบรมตัวเอง เอาไว้ก่อนให้จงได้ หรือต้องพยายามหลบหลีก หลบลี้ ไปจากสภาวะแวดล้อมใดๆ ก็ตาม ที่อาจเป็นตัวดึงดูดให้ต้องเกิดอารมณ์บวก อารมณ์ลบ อารมณ์ชอบ อารมณ์ชัง ขึ้นมาได้ง่ายๆ...

(5)

        และด้วยเหตุที่แนวๆ...มันมักต้องเป็นไปในแนวนี้นั่นเอง บรรดาผู้เจริญเติบโตขึ้นไปถึงวัย ถึงวุฒิภาวะ ระดับที่อยากรู้ อยากหลุดทั้งหลาย ท่านเลยมักต้อง ปลีกวิเวก ต้องเสาะแสวงหาสภาวะแวดล้อมที่ไม่เปิดโอกาส ให้อะไรต่อมิอะไรมันไหลเข้ามากระทำปฏิกิริยากับหู-ตา-จมูก-ปาก-ลิ้น-กาย-ใจ ได้มากมายเกินไปนัก ชนิดทำให้แม้แต่กษัตริย์ ขุนนาง หรือผู้มีอำนาจวาสนานับตั้งแต่อดีต เมื่อถึงวัย ถึงจังหวะ อยากรู้ อยากหลุดขึ้นมา ส่วนใหญ่...หนีไม่พ้นต้องทิ้งบ้าน ทิ้งเมือง ทิ้งตำแหน่งแห่งที่ เผ่นเข้าป่ากันอุตลุด เข้าไปแสวงหาสถานที่สงัดๆ หรือสถานที่แทบไม่มีอะไรเข้ามาทำปฏิกิริยากับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ง่ายๆ อีกต่อไป...

(6)

        ในพงศาวดารจีนบางเรื่อง บางราว...ผู้ที่พยายามปลีกวิเวก หลบเข้าป่าไปเป็น เซียน นั้น แค่ได้เห็น ได้เจอ ผู้นำรัฐนั้น รัฐนี้  ก๊กโน้น ก๊กนี้ มาเชิญชวน ขอให้กลับไปรับใช้บ้านเมือง ไปเป็นขุนนาง อำมาตย์ ถึงขั้น...ต้องรีบวักน้ำในลำธารล้างหูกันเลย ถึงขั้นนั้น เรียกว่า...ไม่เอาแล้ว...กูไม่เอากับมึงอีกแล้ว...หรือต้อง อตัมมยตา กันลูกเดียว ถึงจะพอมีโอกาสได้รู้ในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ ได้พ้นไปจากสิ่งที่ตัวเองต้องการหลุดพ้น แต่ถ้ายังขืนแกร่วๆ วนไป-วนมา อยู่กับสภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการรู้ การหลุดพ้น จุดจบระหว่างปรมาจารย์พิชัยสงครามอย่าง ซุนจู้ กับ เง่าคี้ อาจถือเป็นตัวอย่างที่นำมาใช้เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี ว่าอะไรเหมาะ อะไรควร สำหรับบรรดาผู้ที่ได้ชื่อว่า นักปราชญ์ ทั้งหลาย...

(7)

        ที่หยิบเอาเรื่องทำนองนี้มา เทศน์ ไว้ซะยืดยาว...คงไม่ได้มีอะไรมากหรอกทั่น เผอิญเห็นว่าช่วงระหว่างนี้ การเชิญชวนให้ใครต่อใครมาทำอะไรต่อมิอะไรให้บ้านเมืองนั้น ชักจะคึกคัก โครมคราม พอสมควร และบรรดาผู้ที่ถูกเชิญ ถูกชวน แม้จะอยู่ในวัย ในวุฒิภาวะ ที่ควร ปลีกวิเวก ไปนานแล้ว แต่กลับไม่ได้คิด เอาน้ำล้างหู กันเลยแม้แต่น้อย หนักไปทาง โดดใส่ เอาไงก็เอากัน ซึ่งจะถูก-ผิด เหมาะ-ไม่เหมาะ นั่นคงต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไข-เหตุปัจจัยแต่ละปัจเจกบุคคลแล้วแต่จะว่ากันไป แต่สำหรับผู้ที่อยากรู้ อยากหลุดพ้นกันจริงๆ นั้น คงต้องหมั่นท่องคำว่า อตัมมยตา เอาไว้ให้จงหนัก ไม่งั้นไม่เพียงไม่มีโอกาสรู้ ไม่มีโอกาสหลุดพ้นเท่านั้น เผลอๆ...อาจ เสียคนตอนแก่ เอาง่ายๆ...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"