ฤาประเทศไทยจะไม่พ้นการโกงกิน


เพิ่มเพื่อน    

ข่าวการโกงกินของข้าราชการและนักการเมืองในประเทศไทยของเรามีให้ได้ยินได้ฟังอยู่เนืองๆ ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น สำนึกทางด้านศีลธรรมจริยธรรมหายไปไหนหมด การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ครูที่สอนหนังสือได้สอนหลักธรรมนำชีวิตให้แก่ลูกศิษย์บ้างหรือไม่ ผู้นำในวงการต่างๆ ทั้งการเมือง ข้าราชการประจำ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรเอกชนยังคงมีคนที่จะเป็นแบบอย่างของคนที่ซื่อสัตย์สุจริตเหลืออยู่บ้างไหม โครงการต่างๆ ของรัฐทั้งที่รัฐบาลอันมีนักการเมืองเป็นผู้กำกับและที่ข้าราชการประจำเป็นผู้กำกับ หรือโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจจะต้องมีเรื่องการโกงกินให้เป็นที่รับรู้ของประชาชน แม้ไม่ใช่ 100% แต่ก็มากพอที่จะเป็นปัญหาของการพัฒนาประเทศชาติ และทำให้ประชาชนผู้ต้องเสียภาษีรู้สึกเสียดายเงินภาษีที่ต้องจ่ายให้แก่ทางการ และในบางเรื่องที่การโกงกินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนยากจน คงไร้ที่พึ่ง คนพิการ และคนที่เจ็บป่วย ประชาชนที่รับรู้ก็จะรู้สึกหดหู่ แล้วตั้งคำถามว่าคนพวกนั้นเขาทำไปได้อย่างไร เราไม่คิดบ้างเลยหรือว่าเขาซ้ำเติมผู้ด้อยโอกาสที่ตกทุกข์ได้ยาก มันผิดทั้งอาญา วินัย และทางธรรม

หากใครติดตามการโกงกินที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราก็จะพบว่าพวกเขามีวิธีการต่างๆ มากมาย คนที่เป็นรัฐบาลเขาก็ออกนโยบายที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนที่สร้างโอกาสให้เขาสามารถได้รับผลประโยชน์อันมิควรได้ และทำให้บริษัทธุรกิจของเขาได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็จะแสวงหาเงินทดแทนจากโครงการต่างๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นให้เกิดงบประมาณ จนมีนักการเมืองบางคนมีฉายา “จอมโครงการ” เพราะท่านชอบคิดโครงการให้เกิดงบประมาณที่ท่านจะได้เงินทอนจากผู้ที่ได้งานจริงของรัฐ เงินทอนที่ได้กันนั้นเริ่มต้นที่ 10% จนปัจจุบันมาอยู่ที่ 30% เป็นส่วนใหญ่แล้ว นอกเหนือจากเงินทอนแล้ว เอกชนที่ได้งานจากรัฐวิสาหกิจยังต้องเตรียมเงินไว้อีกจำนวนหนึ่ง ไว้ตอบสนองคำปรารภของผู้มีอำนาจอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น เมือปรารภว่า “ลูกสาวจะไปเที่ยวฮ่องกง” ก็ต้องเตรียมตั๋วเครื่องบินให้ ถ้าเขาปรารภว่า “เมียอยากได้กระเป๋าหลุยส์” ก็ต้องหาคนซื้อจากฝรั่งเศสมาให้ การจ่ายเงินทอนและการตอบสนองคำปรารภทำให้พวกเขาต้องขายของให้รัฐในราคาที่สูงกว่าปกติ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม

ระยะหลังนี้การโกงกินของนักการเมืองเลยเถิดจากการแสวงหาเงินทอนมาเป็นการใช้เงินหลวงสร้างตึก สร้างอาคาร สร้างสาธารณูปโภค แล้วออกนโยบายสัมปทานให้เอกชนมาดำเนินการแทนภาครัฐ และคนที่ได้สัมปทานก็จะไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่จะเป็นพรรคพวก หรือตัวแทนหุ่นเชิดของเขานั่นเอง การเข้าฮุบสมบัติของแผ่นดินเป็นของตนเองนั้นยังมาในรูปแบบของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน มีการขายหุ้นให้เอกชน แล้วคนที่ได้หุ้นไปเป็นจำนวนมากๆ ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล พวกของเขาเอง มีทั้งตัวจริงและตัวแทนหุ่นเชิด เวลาที่มีการประเมินราคาหุ้นก็ประเมินต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เพื่อให้หุ้นที่นำออกมาขายนั้นมีราคาถูก เพื่อพวกเขาจะได้ซื้อหุ้นในราคาถูกๆ และแล้วอีกไม่นาน ราคาหุ้นดังกล่าวก็จะสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขามีกำไรจากการมีหุ้นในรัฐวิสาหกิจที่มีการแปรรูป

นอกจากการทำโครงการภาครัฐแล้วก็ยังมีการโครงการในแวดวงรัฐวิสาหกิจที่มีการจัดซื้อจัดจ้างให้มีการทำโน่นทำนี่ ทั้งการประชาสัมพันธ์ และการโฆษณา (ที่ไม่จำเป็น) การซื้ออะไหล่ ที่มีคนของผู้มีอำนาจไปนั่งเป็นผู้ว่าฯ บ้าง เป็นกรรมการบ้าง เรียกว่าตรงไหนมีโอกาสที่จะหาเงินเข้ากระเป๋าผู้มีอำนาจพวกเขาก็จะทำกัน โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เกรงใจประชาชนผู้เสียภาษี จนบางครั้งการโกงกินเหล่านี้กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ประชาชนบางคนไม่อยากเสียภาษี

หน่วยงานราชการก็ใช้อำนาจในการเป็นผู้ดำเนินการเรื่องเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่มีกำหนดในระเบียบ แล้วเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ นั้นเป็นกระเป๋าตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มีการเรียกเงินทอนในการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกเก็บเงินเพื่อเร่งรัดการยื่นขอใบอนุญาตหรือการอนุมัติอะไรบางอย่าง การให้ความช่วยเหลือผู้ประมูลงานของรัฐให้ได้งาน เรื่องต่างๆ เหล่านี้มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ จนทำให้นักวิชาการบางคนยอมรับว่า การโกงกินในแวดวงราชการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสังคมไทย รื้อยาก ทำลายยาก แม้ว่าจะมีความพยายามของกลุ่มประชาชนบางกลุ่ม 

หน่วยงานที่เป็นผู้รักษากฎหมาย เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่ประชาชนมองเห็นการโกงกินอย่างชัดเจน ดูได้จากการดำรงอยู่ของบ่อน ซ่อง ผับบาร์ที่เปิดเกินเวลา พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในที่ห้ามขาย การค้าของเถื่อน การเปิดตลาดเถื่อน การจอดรถในที่ห้ามจอดโดยไม่โดนใบสั่ง ภาพเหล่านี้ทำให้ประชาชนอดคิดไม่ได้ว่า ธุรกิจและการกระทำที่ผิดกฎหมายเหล่านี้อยู่ได้ เพราะมีการจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายเรียบร้อยแล้ว เป็นการปิดหูปิดตาเจ้าหน้าที่ ให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยให้มีการทำผิดโดยไม่มีการป้องปรามหรือปราบปรามแต่อย่างใด เป็นเหตุทำให้คนไทยบางคนมองว่ากฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์

ในเวลานี้มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงเรื่องความโปร่งใส ทั้งเรื่องเงินทอนวัด เรื่องนาฬิกาหรู เรื่องตลาดเถื่อน เรื่องค้ามนุษย์ เรื่องการยิงเสือดำในป่าที่ห้ามไม่ให้มีนักท่องไพรเข้าไป เรื่องหวย 30 ล้านที่มีตำรวจผู้ทำคดีในท้องที่มีส่วนเข้าไปพัวพัน รัฐบาลต้องทำให้เรื่องเหล่านี้กระจ่างแจ้ง ให้หลุดพ้นจากความคลางแคลง ในยุค Social media การนิ่งเฉย ไม่รายงานความคืบหน้า คงไม่ใช่แนวทางของการบริหารที่ดีอีกต่อไป เพราะถ้าหากรัฐบาลไม่ทำ มือคีย์บอร์ดใน Social media เขาจะทำหน้าที่นี้เอง และเมื่อพวกเขานำความจริงมาตีแผ่ รัฐบาลก็จะเสียหน้า และถูกมองว่าไม่เอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริต.
    
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"