‘ลุงตู่’โต้กลับทุกเม็ด นอตหลุด!ชี้หน้าฝ่ายค้านเดือดตัดพี่น้อง‘เสรีพิศุทธ์’


เพิ่มเพื่อน    

 

วันแรกอภิปรายนโยบายรัฐบาลเดือด รุมอัด “บิ๊กตู่-อุตตม” เป็นหลัก พร้อมสับนโยบายสุดเลื่อนลอย-ซ่อนเร้น “วันนอร์” ดุอัดไม่มีวันงาช้างงอกจากปากสุนัข “ปิยบุตร” ข้องใจคำถวายสัตย์ฯ ครม.ประยุทธ์ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ “ลุงตู่” ลั่นไม่ตื่นเต้นอยู่มา 5 ปีแล้ว แต่โต้ทุกดอก ซัดทำไมคนไทยไม่รักประเทศ ของขึ้นอัดพวกวิพากษ์แก้ปัญหาไฟใต้อย่าพูดลอยๆ หากไม่มีหลักฐาน ระอุ “โรม-เสรีพิศุทธ์” ขึ้นเวทีซัดเรื่อง "คอร์รัปชัน-โกงเลือกตั้ง" ทำ “ประยุทธ์” นอตหลุดชี้หน้าสวนพร้อมประกาศตัดพี่น้อง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ณ หอประชุมใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในวาระที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560
โดยก่อนประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้โพสต์เฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ว่า “ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในความตั้งใจของรัฐบาลอย่างเต็มเปี่ยมที่จะนำพานโยบายต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติ เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ผมและรัฐบาลมีความจริงใจ อยากให้ทุกคนเข้าใจว่านโยบายของรัฐบาลคืออะไร การบริหารราชการเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง และรัฐบาลจะทำงานอย่างไร หลังจากนี้ เราจะบริหารประเทศอย่างเต็มที่ เต็มประสิทธิภาพ เพื่อบ้านเมืองของเรา และคนไทยทุกคน ครับ #แถลงนโยบายรัฐบาลประยุทธ์”
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 08.45 น. พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาถึงรัฐสภาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส และตอบคำถามถึงความรู้สึกตื่นเต้นหรือไม่ที่เดินทางเข้าสู่รัฐสภาสั้นๆ ว่า ไม่ตื่นเต้น อยู่มา 5 ปีแล้ว
ก่อนหน้านั้น เวลา 08.20 น. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เดินทางมาถึง โดยยืนยันว่าหากมีการอภิปรายพาดพิงถึงก็พร้อมชี้แจง เพราะได้เตรียมข้อมูลไว้แล้ว ส่วนในเวลา 08.40 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เดินทางมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทาย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินขึ้นลิฟต์ไปยังห้องประชุม 
และเมื่อเวลา 09.30 น. ก่อนเริ่มการประชุม นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้ลุกขึ้นหารือ โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ได้นำ ครม.เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 ซึ่งเขียนไว้ว่าก่อนเข้ารับหน้าที่รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้ “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”  แต่ปรากฏว่าในคลิปถ้อยคำที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวนำพูดจบแค่ประโยคที่ว่า "เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนตลอดไป"  โดยคำว่า "ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ" หายไป
นายปิยบุตรกล่าว่า ตอนแรกคิดว่าประโยคที่หายไปนี้มีการหลงลืมไปหรือไม่ ทำให้ลองไปย้อนดูคลิป การถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนเป็นนายกฯ ครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2557  ซึ่งก็ปรากฏว่ากล่าวคำเหล่านี้ครบถ้วน แต่ว่าวันที่ 16 ก.ค.2562 นั้นหายไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะองค์กรต่างๆ ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญหลายองค์กรต้องถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ได้ ซึ่งกรณีที่หารือนี้ เกี่ยวข้องกับผลสมบูรณ์ในทางรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งที่ประชุมแห่งนี้จำเป็นต้องรับผิดชอบร่วมกัน โดยสุดท้ายแล้วการที่นายกฯ กล่าวไม่ครบ การถวายสัตย์ปฏิญาณตนนั้นถือว่ามีผลสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าหากมีผลไม่สมบูรณ์ ผลที่ตามมาวันนี้คือ มาตรา 162 ที่จะแถลงนโยบายเข้ารับหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้วหรือยัง ขอหารือเพื่อวินิจฉัยร่วมกัน ทั้งในที่ประชุมแห่งนี้ รวมทั้ง ครม. เพราะถ้อยคำที่ขาดหายไปนั้นสำคัญมาก คือ "ยึดถือและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ" ถ้าไม่มีคำนี้แล้วหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าไม่ต้องยึดถือตามรัฐธรรมนูญอย่างนั้นหรือไม่
จากนั้น นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวประท้วงนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา โดยระบุว่า ตนเองไม่เห็นคลิป ท่านประธานเห็นคลิปหรือไม่ เมื่อไม่เห็นแล้วอนุญาตให้พูดได้อย่างไร การตัดต่อในคลิปหรือการตัดต่อในทีวีสามารถทำได้ ไม่จำเป็นต้องพูดครบถ้วนทั้งประโยค ดังนั้น การใช้เอกสารใดๆ ตามข้อ 43 หรือการกล่าวถึงคลิปใดๆ อยากให้โปรดวินิจฉัยตรวจสอบก่อนอ้างอิงถึงหลักฐานเอกสารเหล่านั้น 
ทั้งนี้ นายชวนกล่าวว่า การประท้วงฟังไม่ขึ้น ประธานไม่ได้ทำผิดข้อบังคับ เพียงอนุญาตให้สมาชิกได้พูด ซึ่งในประเด็นที่พูดนั้นก็ไม่มีคลิป ไม่ทราบว่าจริงหรือเท็จ แต่ผู้พูดต้องรับผิดชอบ เพราะมีการถ่ายทอดสด และเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง
ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ลุกขึ้นถามไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ว่า ผิด-ไม่ผิดอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์รู้ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องชี้แจง แต่นายชวนย้ำความรับผิดชอบว่า เป็นของผู้ถาม ก่อนตัดบทเข้าสู่ระเบียบวาระแถลงนโยบายทันที
ปิยบุตรลั่นไม่ได้ตีรวน
ต่อมา นายปิยบุตรได้โพสต์ทวิตเตอร์พร้อมแนบคลิปข่าวในพระราชสำนักของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ความยาว 58 วินาที พร้อมระบุว่า คุณวีระกรประท้วงว่าคลิปข่าวอาจเป็นการตัดต่อ และประธานก็บอกให้รับผิดชอบข้อกล่าวหาที่รุนแรงนี้ จึงขอนำคลิปข่าวในพระราชสำนักเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่กล่าวถึงมาให้ได้รับชม
ทั้งนี้ ในเวลา 11.10 น. นายปิยบุตรยังไปแถลงที่หน้าห้องประชุมใหญ่อีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าคลิปไม่มีทางตัดต่อได้ เพราะนั่นเป็นข่าวในพระราชสำนัก ทุกช่องนำไปเผยแพร่พร้อมกันหมด และที่พูดเพราะความปรารถนาดี ไม่ได้ตีรวน และอยากให้กลไกการแถลงนโยบายเดินไปได้ต่อ จึงตั้งคำถามเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนเพื่อขจัดปัญหานี้ และหากเป็นปัญหาจริงจะแก้ไขกันอย่างไร จะกล่าวคำปฏิญาณใหม่หรือไม่ ถ้าท่านยืนยันว่าสมบูรณ์ตามกฎหมายเราก็ว่ากันต่อ แต่หากไม่สมบูรณ์ก็ไปแก้เสีย แต่อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เช่นนั้น ครม.ชุดต่อไปก็สามารถพูดประโยคแบบเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่น่าเสียดายว่าไม่ได้มีการวินิจฉัยในเรื่องนี้เลย และในการอภิปรายของจะพูดเรื่องนี้ด้วย เพราะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของนายกฯ และ ครม. ส่วนที่ประธานรัฐสภาบอกให้รับผิดชอบ ยืนยันว่ารับผิดชอบแน่ แต่ยังไม่เห็นต้นร่างของคำถวายสัตย์ปฏิญาณดังกล่าว 
ส่วนในที่ประชุมในเวลา 09.55 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เริ่มต้นแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ปรากฏว่านายกฯ แถลงสลับกับพูดคุยกับสมาชิกรัฐสภา ทำให้ฝ่ายค้านลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะ โดยระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ไม่ใช่คิดอะไรก็พูดตามที่คิด การแถลงนโยบายต้องพูดกับประธานในที่ประชุม ไม่ใช่พูดกับสมาชิก และขอให้อ่านนโยบายตามที่ได้ส่งให้รัฐสภา ไม่ใช่อ่านเพียงแค่บางประโยค และข้ามไปข้ามมา เพราะรัฐสภาไม่ใช่ค่ายทหาร และสมาชิกไม่ใช่ผู้ใต้บังคับของนายกฯ ซึ่งนายชวนตัดบท และให้ พล.อ.ประยุทธ์แถลงต่อโดยอ่านตามคำแถลงที่ได้ส่งให้ต่อรัฐสภา
จากนั้นเวลา 11.45 น. ได้เข้าสู่การอภิปราย โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. ในฐานะว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะนำนโยบายที่นำเสนอแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ประเทศได้ โดยวิเคราะห์จากความล้มเหลวของรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งเรื่องคุณสมบัติของรัฐมนตรี ซึ่งต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ต้องไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่พบว่ามีรัฐมนตรีหลายคนมีคดีติดตัวอยู่ มั่นใจว่าประชาชนทั้งไทยและต่างชาติไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้เลยแม้แต่น้อย และไม่เชื่อมั่นว่าภายใต้นายกฯ คนเดิม หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนเดิม ครม.หน้าเดิมๆ จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ การที่รัฐบาลชุดใหม่ยืนยันจะใช้บุคลากรและมาตรการเดิมๆ ที่ล้มเหลวมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มีแต่จะนำประเทศไปสู่ความมืดมนและหายนะในที่สุด
         “รัฐบาลชุดนี้ประกอบด้วย 3 ความไม่ชอบธรรม ได้แก่ 1.การเข้าสู่อำนาจที่ขาดความชอบธรรม ใช้รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยพวกพ้อง 2.ครม.ขาดความชอบธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ 3.ตัวนายกฯ ก็ขาดความชอบธรรมเข้ามาผลักดันนโยบาย เพราะมีปัญหาด้านคุณสมบัติ นอกจากนี้ ยังล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศเกือบเข้าสู่สภาวะล้มละลาย ประเทศมีเพียงประชาธิปไตยจอมปลอมหรือเผด็จการครึ่งใบ ทำให้ไม่เชื่อว่านายกฯ จะทำนโยบายเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้” นายสมพงษ์กล่าว
จากนั้นเวลา 12.30 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) อภิปรายว่า นโยบายรัฐบาลเป็นนโยบายเลื่อนลอย แม้แต่นายกฯ ก็ยังอ่านนโยบายต่อรัฐสภาแบบข้ามไปข้ามมา แสดงให้เห็นว่าไม่มีความตั้งใจในการอ่านนโยบายมีถึง 35 หน้า แต่ไม่อาจสามารถหาวิสัยทัศน์ได้ เป็นนโยบายที่ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ได้บอกว่าจะดำเนินการเรื่องใดและเมื่อใด นายกฯ ไม่ได้บอกว่านโยบายทั้ง 12 ด้านที่เร่งด่วนนั้นจะดำเนินการเมื่อใด โดยมีกรอบเวลาในการดำเนินการอย่างไร
งาช้างไม่งอกจากปากสุนัข
     “นโยบายบอกให้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่คนทำนโยบายกลับเป็นคนทำการรัฐประหารประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญเสียเอง ซึ่งเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 พวกผมอยู่ในเหตุการณ์และในห้องประชุม โดยก่อนจะประกาศยึดอำนาจ ท่านบอกว่าเตรียมการมา 3 ปีกว่า ทำให้เกิดความสงสัยว่าคำพูดในวันนั้นหมายความว่าอะไร ผมเชื่อว่าคนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยจะยื่นประชาธิปไตยให้กับประชาชน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ไม่มีวันที่งาช้างจะงอกจากปากสุนัข” นายวันมูหะมัดนอร์อภิปราย
    ต่อมาเวลา 13.20 น. นายปิยบุตรอภิปรายว่า นโยบายของรัฐบาลมีแต่ระบุว่าการพัฒนาและเสริมสร้าง แต่ไม่มีการระบุว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เกิดเป็นรูปธรรม เป็นนโยบายเลื่อนลอย โลเล หลอกลวง และไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร นโยบายของ ครม.ชุดที่ผ่านมาของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เขียนได้ดีกว่า ครม.ปัจจุบัน และด้วยสภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเช่นนี้ มีโอกาสน้อยมากที่จะผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ จึงขอคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่านโยบายจะเป็นเพียงตัวอักษรเท่านั้น นโยบายที่สำคัญและมีความก้าวหน้าจะไม่ได้รับการผลักดัน
นายปิยบุตรกล่าวว่า นโยบายการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พรรคสนับสนุนเต็มที่ เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญขาดความชอบธรรมหลายประการ เช่น การมี ส.ว. 250 คนที่มาจาก คสช. และมีอำนาจมากเกินไป ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในนโยบายเร่งด่วนเป็นเรื่องสำคัญ อยากให้ ครม.เน้นให้ชัดเจนมากกว่านี้ อย่าเขียนเลื่อนลอยในลักษณะขอไปที เพื่อให้พรรคการเมืองที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญพอใจและเข้ามาร่วมรัฐบาล โดยในอดีตเคยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นฉันทามติร่วมกันของคนทั้งประเทศมาแล้ว คือรัฐธรรมนูญ 2540 จึงอยากเชิญชวนให้ฟื้นวิญญาณการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาอีกครั้ง ยุติรัฐธรรมนูญแบบการแก้แค้นเอาคืนแบบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับล่าสุด
จากนั้น เวลา 14.40 น. นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรค พท. อภิปรายว่า ขณะนี้ประเทศเหมือนรถยนต์คันใหญ่ ต้องใช้คนขับถึง 35 ตำแหน่ง พร้อมกับกัปตัน และรถไม่เคยซ่อมบำรุง สภาพเครื่องยนต์ 4 เครื่องทางเศรษฐกิจ เสียหายไปแล้ว 3 เครื่อง ทั้งการบริโภคภายในประเทศ การส่งออก และการลงทุนเจ๊งหมด เหลือเพียงแต่งบประมาณแผ่นดิน ดังนั้น การขับรถเพื่อเข้าสู่เป้าหมาย คนขับจึงต้องมีความรู้ความสามารถ หัวหน้าคนขับก็ต้องยิ่งกว่า ทั้งขับทั้งซ่อมด้วย แต่เท่าที่ตรวจสอบนโยบาย เป็นนโยบายเลื่อนลอย ขาดความชัดเจน ไร้เป้าหมาย นโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ไม่เขียนเป้าหมายไว้แต่ข้อเดียว ถามว่าสมาชิกรัฐสภาจะตรวจสอบผลสัมฤทธิ์อย่างไร เขียนแบบนี้เสมือนซ่อนเร้นปิดบังรัฐสภา
ทั้งนี้ ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนทั้งนายสมพงษ์, นายวันมูหะมัดนอร์ และนายชลน่าน ได้อภิปรายโจมตีนายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง เกี่ยวกับคดีปล่อยกู้กรุงไทย ทำให้นายอุตตมลุกขึ้นกล่าวว่า มีคนพยายามจะบิดเบือนเรื่องนี้ แต่ขอกราบเรียนว่ายินดีให้มีการตรวจสอบ แต่ถ้าคนไม่ผิดแต่เดิม แต่วันนี้จะหาเหตุให้ผิด จะทำได้อย่างไร 
ต่อมานายอุตตมยังโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงเรื่องย้ำอีกครั้งในหัวข้อ "ผมไม่ผิด จะให้ผิดได้อย่างไร" 
ในเวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า อาจพูดเร็วไปนิดหนึ่ง พูดไม่ชัดบ้าง กลืนน้ำลายบ้าง เพราะเป็นมนุษย์ ถ้าท่านพูดเก่งก็เรื่องท่าน แต่ตนเองพูดแล้วทำไปด้วย 
ข้องใจไม่รักประเทศ
“ผมเสียงดังไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้พูดนานแล้ว ผมเองก็มีตัวตนของผมเหมือนกัน เขาบอกให้ผมพูดอย่างสุภาพ แต่ตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่ หลายประเทศบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ารักประเทศไทย แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนบางกลุ่มถึงไม่รักประเทศไทย“ พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ระหว่างนายกฯ อภิปราย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค อนค.ลุกขึ้นประท้วงว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวถ้อยคำกับประธานรัฐสภา ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ขอบคุณ และขอโทษ เพราะอาจจะเคยชินไปหน่อย แต่ก็ให้เกียรติประธานรัฐสภาอยู่แล้ว” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปพูดกับนายชวน ซึ่งสร้างเสียงหัวเราะให้กับสมาชิก 
“หลายคนวิจารณ์ว่านายกฯ พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่เวลาพูดคุยกันก็มีล่าม โดยในห้องประชุมมีล่ามถึง 15 คน แต่ดีกว่าคนที่พูดเก่งแล้วพูดไม่มีสาระ ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งที่พูดมานี้ไม่ได้โมโหใครเลย เพียงแต่อยากให้เข้าใจว่าเราคิดนโยบายอย่างละเอียด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวและชี้แจงถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ ว่าต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่อันตราย ไม่เหมือนกับต่างประเทศ หลักการใช้กันไม่ได้ จะใช้หลักสิทธิมนุษยชนมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดปัญหา ถามว่าสิทธิมนุษยชนกับการละเมิดกฎหมายอาญา ฆ่าคนตายเป็นเส้นเดียวกัน ปัญหาวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่รัฐบาล และรัฐบาลไม่ได้อยู่ดีๆ จะไปยิงใครก่อน ทหารไม่ได้อยากไปยิงใคร ถ้าประชาชนไม่ถูกยิง ทหารก็ไม่ยิง จะไปยิงทำไมก็เป็นคนไทยด้วยกัน ทหารถูกสอนมาแบบนี้ 
“ต่างประเทศ เขาเข้าใจกับการแก้ไขปัญหา มีแต่ในประเทศไทยนี่แหละที่ไม่พอใจ ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจจะให้ดูแลผู้ร้ายกันตลอดไป แล้วเจ้าหน้าที่ผิด ผมก็ยอมรับ แต่ขอให้หาหลักฐานมา อย่าพูดลอยๆ และที่จับมาแล้ว มากล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐซ้อม มันไม่จริง ดูหนังมากไปกันหรือเปล่า” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงนโยบายทางด้านความมั่นคง ซึ่งเมื่อพูดถึงช่วงนี้ได้ชี้นิ้วไปยังผู้ประท้วง ซึ่งเป็นอดีตนายทหาร และพูดว่าพวกท่านก็รู้ดี เพราะเป็นลูกน้องมาก่อน เป็นทหารเหมือนกัน ขอให้เข้าใจ ซึ่งนายชวนได้กล่าวเตือนว่าอย่าชี้นิ้ว พล.อ.ประยุทธ์จึงได้กล่าวขอโทษ พร้อมกับหัวเราะและบอกว่ารูปแบบในสภาฯ อาจเปลี่ยนไปบ้างต้องขออภัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวัน พล.อ.ประยุทธ์ได้พยายามนั่งฟังในห้องประชุมและใช้ดินสอจดรายละเอียดตลอด ยกเว้นช่วงออกไปรับประทานอาหารกลางวัน โดยบางช่วงการฟังการอภิปรายจากฝ่ายค้าน พล.อ.ประยุทธ์เก็บอารมณ์ไม่อยู่ แสดงออกมาทางสีหน้า บางครั้งก็เบ้ปาก ทำตาขวางไม่พอใจ แต่ พล.อ.ประวิตรซึ่งนั่งอยู่ข้างกันตลอดเวลาได้คอยสะกิดเตือน และทำหน้ายิ้มใส่ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์อารมณ์ดี ซึ่งก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์คลายอารมณ์ลง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ลุกขึ้นชี้แจงในประเด็นต่างๆ บ่อยครั้งมาก
           ในช่วงเย็นเวลา 17.00 น. ส.ส.พรรคฝ่ายค้านยังเดินหน้าอภิปรายนโยบายรัฐบาลต่อเนื่อง โดยบรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกขึ้นอภิปราย โดยนำรูปภาพซึ่งเป็นป้ายนโยบายหาเสียงของพรรค พปชร.มาอภิปราย แต่ถูก ส.ส.พรรค พปชร.ต่างลุกขึ้นประท้วง โดยนายชวนระบุว่าได้ขออนุญาตแล้ว ถ้ามีการพาดพิงพรรคก็ชี้แจงได้ 
“ถวิล” ซัดยิ่งลักษณ์อคติ
        นายศรัณย์วุฒิยังอภิปรายช่วงหนึ่งว่า เป็นห่วงในเรื่องความยุติธรรม อาทิ นาฬิกายืมเพื่อนก็ไม่มีความผิด กรุงไทยปล่อยกู้ มีคนติดคุก แต่บางคนรอด ล้มการประชุมอาเซียนซัมมิตที่พัทยา ทุกคนมีคดี แต่ไอ้โบ้รอด รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาตรา 44 ปลดคนเป็นพัน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ย้ายนายถวิล ไม่บอกนามสกุล รัฐบาลล้มไปเลย 
ทำให้นายถวิล เปลี่ยนศรี ส.ว.สรรหาลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า มีคนพูดเช่นนี้เยอะ ยืนยันว่าไม่ได้เส้นใหญ่อะไร แต่การย้ายตนเองทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ใช่จากการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะในคำสั่งระบุด้วยซ้ำว่า ย้ายไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ศาลชี้ว่า ตำแหน่งไม่ได้สูงขึ้น จึงมีความแตกต่าง เพราะเป็นการรังเกียจรังงอน อคติ อีกทั้งตนเองก็ไม่ได้ไปร้องเอง แต่อดีต ส.ว.ไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ 
ต่อมาบรรดารัฐมนตรีก็ต่างลุงขึ้นชี้แจงถึงประเด็นที่ ส.ส.ฝ่ายค้านได้พาดพิงทั้ง นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ชี้แจงกรณี 88 การ์มองเต้ รีสอร์ท และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ที่ชี้แจงนโยบายรัฐบาลด้านเศรษฐกิจ 
ต่อมาเข้าสู่การอภิปรายช่วงค่ำ ตั้งเเต่เวลา 19.30 น. ในการประชุมที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย รองประธานรัฐสภาทำหน้าที่ เริ่มเกิดการโต้คารมขึ้น เมื่อถึงคิวนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค อนค.อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ถ้อยคำในนโยบายรัฐบาลเขียนดูดี แต่บุคคลที่เป็นนายกฯ และ ครม.มีส่วนสำคัญในรัฐบาลเดิมมาตั้งเเต่วันที่ยึดอำนาจ จึงไม่เชื่อว่านโยบายจะเกิดขึ้นได้จริง พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ รับเงินสองทางมา 5 ปี รวม 15.3 ล้านบาท แต่งตั้งเครือญาติบริวารตัวเองเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มาเป็น ส.ว. รวมถึงปล่อยปละละเลยให้เกิดทุจริตคอร์รัปชัน ปล่อยให้ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ส.ว.ในฐานะน้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งลูกชายตัวเองที่เรียนจบนิเทศศาสตร์มาเป็นทหาร ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ใช้งบฯ 20 ล้านบาท ระหว่างนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศได้รับประทานอาหารราคาเเพง เช่น ไข่ปลาคาเวียร์ สวนทางกับประชาชนที่มีฐานะยากจน ดังนั้นจะปราบปรามคอร์รัปชันได้อย่างไรในเมื่อยังแก้ปัญหาของตัวเองยังไม่ได้ ทำให้บรรดาองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นประท้วงให้ถอนคำพูดในลักษณะเสียดสี โดยนายกรุง ศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ประท้วงว่า ถ้าเป็นแบบนี้ มีนักการเมืองเเบบนี้ “ผมบอกเลยว่ามีรัฐประหารเเน่นอนครับ” เรียกเสียงฮือฮาในห้องประชุม
ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะลุกขึ้นชี้เเจงด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังว่า รัฐประหารที่ผ่านมาไม่อยากทำ แต่สถานการณ์ขณะนั้นหากไม่ยุติจะบานปลาย และไม่ได้เตรียมการมาก่อน อยากให้เคารพกฎหมาย ไม่ใช่อภิปรายไปเรื่อย อยากให้สนใจว่าความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวว่ามีเท่าไหร่ ตัวเลขคดีอาญาอยู่ที่ 1,162 คดี ส่วนตัวเลขคดีอาญาในชั้นอัยการสูงสุด 871 คดี ส่วน อตก. 291 คดี จึงอยากถามว่าเรื่องนี้อยู่ที่ไหน จากนั้นนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นประท้วง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ชี้หน้าไปยังที่นั่งของสมาชิกรัฐสภาพร้อมพูดสวนทันทีว่า “พอเลย คุณจิรายุ คุณคารม พลพรกลาง ไม่ต้องมาพูดเลย คุณเกี่ยวข้องอยู่เเล้ว”
นอตหลุดชี้หน้าสวนหมัด
ก่อนที่ประธานจะปล่อยให้นายคารมประท้วง โดยระบุว่าอยากกำชับ พล.อ.ประยุทธ์ว่าที่นี่คือสภา เป็นที่รวมของตัวเเทนประชาชน ไม่ใช่ค่ายทหารต้องระมัดระวังนิดหนึ่ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าก็มาจากประชาชน 9 ล้านกว่าเสียงเหมือนกันที่เลือกเขามาเป็นนายกฯ   
ต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อภิปรายบรรยากาศในที่ประชุมกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ส.ส.พปชร.ได้ลุกขึ้นประท้วงหลายครั้ง โดยเฉพาะในประเด็นที่กล่าวหาว่า โกงเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาล ทำให้นายสายัณห์ ยุติธรรม ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรค พปชร.ประท้วงขอให้ถอนหลายครั้ง แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยืนยันไม่ถอนคำพูด ทำให้มีการประท้วงไปมาระหว่าง ส.ส.ซีกรัฐบาล รวมไปถึง ส.ว.กับ ส.ส.ฝ่ายค้าน และขอให้นายพรเพชรวินิจฉัย แต่นายพรเพชรระบุว่า เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไม่ถอนก็บันทึกเอาไว้ ซึ่งหากพูดไม่จริงต้องรับผิดชอบเอง ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลุกขึ้นอภิปรายประเด็นนี้อีก  
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นอภิปรายโดยไม่ขออนุญาตประธานด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า "ผมกับท่านรู้จักกันมานานแล้ว แต่งงานก็แต่งวันเดียวกัน สมรสพระราชทานเหมือนกัน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่วันนี้ท่านไม่ได้เป็นรุ่นพี่ผม เพราะท่านไม่เคยให้เกียรติผม ท่านบอกจะชักปืนยิงผมตั้งแต่วันโน้น ถ้าท่านชักปืนยิงวันนั้นท่านก็ติดคุก เหรียญรามาท่านได้ ผมก็ได้ แต่ผมไม่เคยคุย ไม่เคยไปแอบอ้าง ผลงานต่างๆ ผมมีมากมาย พูดจาหยาบคาย อวดอ้างอำนาจ ท่านจงไปทบทวนตัวท่านเอง" ก่อนทิ้งเอกสารลงบนโต๊ะ และเดินออกจากห้องประชุมทันทีไปด้านหลังห้องประชุมด้วยสีหน้าโมโห โดยมี พล.อ.ประวิตรเดินตามไปทันที ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากสมาชิก ทำให้นายพรเพชรพยายามตัดบทโดยใช้ค้อนทุบแล้วยืนขึ้นเพื่อควบคุมการประชุม และสั่งพักการประชุม 10 นาที ซึ่งการใช้ค้อนของประธานถือเป็นครั้งแรกในรัฐสภาสมัยนี้
ต่อมา เวลา 21.10 น. ที่ประชุมกลับมาประชุมอีกครั้ง โดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิไจไทย ได้เสนอให้ประธานปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา หากประธานวินิจฉัยแล้ว และสมาชิกไม่ยอมปฏิบัติตาม ก็ต้องเชิญออกจากห้องประชุมและเชิญเข้ามาใหม่ และหากสมาชิกไม่ปฏิบัติตามก็จะทำให้สภาเสื่อม จึงขอเรียกร้องให้ประธานรักษามาตรฐานสภาไว้เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ของสภาแห่งนี้ จากนั้นนายพรเพชรได้วินิจฉัยให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ได้ถอนคำพูด โดยเฉพาะคำว่าหน้าด้าน แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยืนยันว่าจะไม่ถอน เพราะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านเขาพูดกัน ไม่ได้พูดเอง เพียงแค่เอามาเล่าสู่กันฟัง จึงทำให้นายพรเพชรยืนยันให้ถอน เพราะเป็นการเอาคำพูดคนอื่นมาพูด เสมือนเป็นคำพูดตนเอง แต่เมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไม่ยอม นายพรเพชรจึงได้สั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ออกจากห้องประชุมท่ามกลางเสียงปรบมือของ ส.ส.พรรคฝ่ายรัฐบาล จากนั้นก็เดินออกพร้อม ส.ส.พรรคเสรีรวมไทย  
ต่อมาการประชุมบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยมีนายสมชาย แสวงการ ส.ส.อภิปราย ก่อนที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะชี้แจงในประเด็นข้อหาพาดพิงเรื่องเศรษฐกิจ
ส่วนที่นอกห้องประชุม นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร. กล่าวว่า นายกฯ ได้แถลงนโยบายชัดเจน และให้เกียรติ ส.ส.ทุกคน บรรยากาศการแถลงนโยบายเต็มไปด้วยความสุข สะท้อนให้เห็นว่านายกฯ ตั้งใจทำงานให้กับประชาชน ส่วนที่พรรค พท.บอกว่ารัฐบาลทำนโยบายฝันหวานเลื่อนลอย ก็จะเห็นว่าไม่จริง เพราะทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องเร่งด่วน เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และทันทีที่แถลงนโยบายเสร็จรัฐบาลก็จะเดินหน้าขับเคลื่อนทันที ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมองแต่เรื่องปลีกย่อย 
นายธนกรยังกล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายนายอุตตม ว่าศาลตัดสินและลงโทษผู้กระทำความผิดไปแล้ว ชัดเจนว่านายอุตตมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ฝ่ายค้านพยายามทำให้สังคมเข้าใจว่า นายอุตตมเป็นคนทำผิด จึงได้สั่งการให้ทีมกฎหมายเตรียมดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้ท่านเสียหาย โดยเบื้องต้นอาจดำเนินคดีกับคนพูดเรื่องนี้ 4-5 คน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อในตอนนี้ 
นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรค พปชร. กล่าวว่า ขอเรียกร้องฝ่ายค้านใช้เวลาที่เหลืออยู่อภิปรายในสิ่งที่มีประโยชน์ ปรับปรุงคุณภาพของผู้อภิปราย หันมาท้วงติงในสิ่งที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่จ้องแต่จะทำลายทางการเมือง 
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ได้เห็นจากการแถลงนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ มีข้อสังเกต 5 ประเด็นสำคัญคือ 1.พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้าใจการทำงานของรัฐสภา 2.พล.อ.ประยุทธ์อาจมีทัศนคติที่เป็นปัญหาต่อการทำงานภายใต้กลไกรัฐสภา ไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ ส.ส. 3.ภาษากายของ พล.อ.ประยุทธ์ บ่งชี้ว่ามีอาการตื่นตระหนก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีสมาธิ 4.ทักษะการสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์มีปัญหา ตั้งแต่การอ่านออกเสียง อักขระคำควบกล้ำ และ 5.เอกสารนโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์อ่าน มีลักษณะวาดฝัน สวยหรู ใช้คำใหญ่ แต่ไม่ลงลึกในรายละเอียด มีความย้อนแย้งเลื่อนลอย โลเล ยิ่งฟังคนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ยิ่งไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้.
    


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"