แม้เวลานี้สปอตไลต์การเมืองจะจับจ้องไปยังวันแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา วันที่ 25-26 ก.ค.เป็นหลัก แต่ในทางการเมืองอีกเรื่องที่มีการพูดถึงไปไม่น้อย ความพร้อมสำหรับศึกชิงผู้ว่าฯ กทม.ที่ทุกพรรคต่างหมายปอง เวลานี้แม้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จะเกิดขึ้นช่วงเวลาใด นักคาดการณ์ประเมินความน่าจะเป็น ถ้าไม่ปลายปีนี้ก็ต้นปีหน้า แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นช่วงเวลาใด ยามระเบิดศึกเมื่อไหร่ เรียกความคึกคักทุกครั้งไป  ยิ่งครั้งนี้ 4 พรรคการเมืองใหญ่ คือ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ อนาคตใหม่ กำลังเฟ้นหาผู้สมัคร มีทั้งที่ลงตัว พร้อมเปิดตัว กับอยู่ในระหว่างการทาบทาม

นอกจากผู้สมัครจะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของพรรคนั้นๆ แล้ว เรื่องนโยบายก็สำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งผู้สมัครดี นโยบายโดน ยิ่งได้แต้มต่อทางการเมือง

ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เมื่อปีที่แล้วมีกระแสข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐให้ความสนใจ ส่งเทียบเชิญให้มาลงในสนาม กทม. แต่เมื่อถามไปยังเจ้าตัว ที่ยังไม่เกษียณอายุราชการ คำตอบที่ได้ ไม่ใช่ทั้ง yes หรือ no ทำให้แฟนๆ ยังต้องรอลุ้นกันต่อไป

ไม่เพียงแค่ตัวเต็งจากผู้สมัครของแต่ละพรรคการเมืองที่ต้องลุ้นจับตากันเท่านั้น ในบรรดาผู้สมัครที่จะลงในนามอิสระ ก็น่าจับตาไม่แพ้กัน และมักเรียกเสียงฮือฮาไม่น้อยเช่นกัน ล่าสุดแว่วเสียง เสี่ยโจ-ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย เอวิชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ความสนใจ เริ่มพบปะพูดคุยกับเพื่อนนักการเมืองใน กทม. และอาจจะขอลงชิงชัยกับเขา ในนามผู้สมัครอิสระด้วย

ในเวลานี้ยังพอมีเวลาให้พรรคการเมืองได้เตรียมตัว ทั้งด้านผู้สมัคร นโยบาย ฝ่ายสนับสนุน กลยุทธ์ต่างๆ นานา โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เต็งหนึ่ง เสี่ยทริป-ชัชชาติ สิทธิพันธุ ที่ได้รับแรงหนุนจากคนแดนไกล เจ้าแม่เมืองหลวง-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ บรรดา ส.ส.และอดีต ส.ส.กทม. พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ที่ยังไม่ยอมเปิดชื่อออกมา แต่ก็มีเสียงกระซิบเล็ดลอดออกมาจากที่ทำการพรรคสีส้ม ตึกไทยซัมมิท หนึ่งในตัวเต็งที่น่าจับตา หม่อมปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกร เทวกุล เป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่น่าจับตา

พรรคประชาธิปัตย์มีกระแสข่าวจะไปทาบทาม เดอะมาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขับเคี่ยวกับ มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ หญิงเก่งทางด้านธุรกิจ แต่ในรายหลัง แว่วเสียงติดเงื่อนไขสำคัญบางประการ (อาจ) ทำให้มาลงสมัครไม่ได้

พรรคพลังประชารัฐแยกเป็น 2 ซีก ปีกแกนนำ กปปส.เดิม ที่มีบทบาทอย่างสูงในสนามเลือกตั้ง กทม. พา ส.ส.กทม.เข้าสภาฯ ได้ถึง 14 คน อยากจะผลักดัน เดอะจั้ม-สกลธี ภัทธิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ให้แข่งชิงชัย ขณะที่อีกปีกอยากดันผู้ว่าฯ ถ้ำหลวง-ณรงค์ศักดิ์ เพราะเชื่อว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ดีกว่า มองไกลถึงแลนสไลด์ เป็นเรื่องภายในที่บิ๊กใน พลังประชารัฐ ต้องไปเคลียร์กันเอาเอง เพราะผู้สมัครในนามพรรคมีได้เพียงหนึ่งเดียว

ในขั้วฝ่ายค้าน เพื่อไทย-อนาคตใหม่ โดยเฉพาะรายหลัง เลือกตั้งคราวที่แล้วได้คะแนนเสียงป๊อปปูลาร์โหวตกว่า 6 ล้านคะแนนเสียง ในจำนวนนี้มากกว่า 1 ล้านเสียงอยู่ใน กทม. ยิ่งทำให้อนาคตใหม่ได้แรงฮึด คิดว่าถ้าได้ผู้สมัครที่ดี เอานโยบายโดนใจไปเติมเต็ม มีลุ้นถึงคว้าชัย เพราะทุกการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คะแนนผู้ชนะอยู่ระดับ 1 ล้านเสียงเศษๆ เท่านั้น

ในส่วนของพรรคเพื่อไทยรู้จุดนี้และได้เสนอสมการใหม่ออกมาคือเจรจา เพราะรู้ดีว่า หากสู้กันเองทั้งเพื่อไทย อนาคตใหม่ มีแต่จะไปตัดคะแนนเสียงกันเอง ดังนั้นจึงมีความพยายามส่งแกนนำบางคนไปพูดคุยกับอนาคตใหม่ที่จะใช้ผู้สมัครคนเดียวกัน ผลักดันให้เป็นตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตยออกมาในสูตร ถ้าชัชชาติลงอนาคตใหม่จะต้องไม่ส่ง หรือ ถ้าอนาคตใหม่ส่งเพื่อไทยจะต้องไม่ส่ง แล้วไปเจรจาแบ่งสรรเก้าอี้ รองผู้ว่าฯ แบ่งกันดูงานด้านสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นโยธาธิการ ผังเมือง กันให้ลงตัว จะได้ไม่ทำให้ตัดคะแนนกันเอง

ส่วนฝั่งพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์ก็รับรู้ถึงสมการความคิดนี้ เลยคิดแก้เกม ขอเจรจาพันธมิตรคนสำคัญอย่างประชาธิปัตย์ ขอส่งผู้สมัครเพียงหนึ่งเดียว ในนามตัวแทนฝ่ายรัฐบาล มีการอ้างถึงฐานคะแนนเสียงทั้ง 2 พรรค สถิติเก่าๆ มาคำนวณ ทั้งฐานคะแนนจัดตั้งจากพรรคการเมือง ฐานคะแนนสวิงโหวต ฐานผู้คนที่ยังไม่ตัดสินใจ ฐานคนที่ไม่ออกไปใช้สิทธิ์ ฐานของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเป็นครั้งแรก บวกลบกันแล้ว ถ้าคุยไม่ลงตัว ส่งพร้อมกัน มีแต่จะตัดคะแนนเสียงกันเอง สุดท้ายอาจจะปราชัย จะไม่ได้กันทั้งคู่

ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม. ที่ว่ากันว่าเป็นสนามชี้วัดสำคัญว่า คนชั้นกลาง (Middle-Class) ตัดสินใจเลือกใคร ผู้สมัคร นโยบาย ล้วนสำคัญไม่น้อยกว่ายุทธวิธี ที่ต้อง ‘คิดให้ดี เดินให้ถูก’ มิเช่นนั้นอาจแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกศึกก็เป็นได้.