รัฐบาลทรัมป์ตีตราอิหร่านเป็นภัยร้ายแรงต่อสหรัฐและนานาชาติ ประกาศคว่ำบาตรกดดันอิหร่านอย่างถึงที่สุดตามนโยบายที่เรียกว่านโยบายกดดันสุดขีด (maximum pressure) เรียกร้องให้อิหร่านเลิกพฤติกรรมเป็นภัยต่อนานาชาติ หนึ่งในความพยายามคือลดการส่งออกน้ำมันอิหร่านให้เป็นศูนย์ (หรือต่ำที่สุด) ประกาศว่านับจาก 2 พฤษภาเป็นต้นไป ประเทศใดที่ยังซื้อน้ำมันอิหร่านจะโดนสหรัฐเล่นงานด้วย แม้กระทั่งประเทศที่เป็นพันธมิตร เคยได้รับการผ่อนผันมาก่อนและจะเล่นงานถึงระดับบริษัท
การคว่ำบาตรน้ำมันเป็นส่วนหนึ่งของการปิดล้อมอิหร่านตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามหรือปฏิวัติอิหร่านเมื่อปี 1979 รัฐบาลสหรัฐบางชุดใช้มาตรการรุนแรง บางรัฐบาลผ่อนคลายการปิดล้อม คว่ำบาตรด้วยหลายเหตุผลทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ก่อการร้าย แพร่กระจายอาวุธ การพัฒนาขีปนาวุธ ฯลฯ เป็นนโยบายที่ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
8 ประเทศผู้เคยได้รับการผ่อนผัน :
ก่อนหน้านโยบายกดดันสุดขีดเหลือเพียง 8 ประเทศที่คงซื้อน้ำมันอิหร่าน เพราะได้รับการผ่อนผันหรือไม่อ่อนข้อให้สหรัฐ ได้แก่ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตุรกี อิตาลี กรีซ และไต้หวัน
ประเทศที่ประกาศแล้วว่าจะระงับหรือลดนำเข้าน้ำมันอิหร่าน ได้แก่ กรีซ อิตาลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
ประเทศที่สหรัฐคุมไม่ได้คือ จีน อินเดีย ตุรกี
ทางการจีนประกาศชัดว่าไม่เห็นด้วยกับมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวของสหรัฐ ซึ่งรังแต่ขยายความตึงเครียดในตะวันออกกลางกับตลาดน้ำมันโลก
ปัจจุบันจีนนำเข้าน้ำมันอิหร่านกว่า 500,000 บาร์เรลต่อวัน เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่สุด
เช่นเดียวกับจีน รัฐบาลอินเดียประกาศจะนำเข้าน้ำมันอิหร่านตามปกติต่อไป ชี้ว่าการซื้อจากแหล่งอื่นเป็นไปไม่ได้ อินเดียเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของอิหร่าน ปี 2019 นำเข้าวันละ 300,000 บาร์เรล ลดจากปีก่อนที่ 450,000 บาร์เรล
ทั้งนี้ มีกระแสข่าวว่าจีนกับอินเดียอาจลดการนำเข้าชั่วระยะหนึ่ง แต่จะไม่ถึงกับยุตินำเข้าทั้งหมด เพราะหวังผลเจรจาการค้ากับสหรัฐหรือผลประโยชน์อื่นที่สำคัญกว่า
ด้านตุรกีปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำเรียกร้องสหรัฐเช่นกัน เมฟเลิต ชาวูโชลู (Mevlut Cavusoglu) รมต.ต่างประเทศวิพากษ์ว่าการที่รัฐบาลสหรัฐจะคว่ำบาตรทุกประเทศที่ซื้อน้ำมันอิหร่านผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทำไมประเทศต่างๆ ต้องยอมนบนอบเชื่อฟังคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐ ต่อมาให้คำอธิบายว่าหากซื้อน้ำมันประเทศอื่นจะต้องปรับปรุงโรงกลั่น ซึ่งต้องใช้เวลาและงบประมาณ
อุปทานไม่ขาด แต่ผู้ส่งออกเปลี่ยนไป :
ประการแรก สหรัฐเพิ่มกำลังการผลิต
ในอดีตมีความเข้าใจว่า ถ้าราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำอาจทำให้น้ำมันขาดตลาดในระยะยาว เพราะนักลงทุนขาดแรงจูงใจลงทุนขุดหาแหล่งน้ำมันใหม่ๆ เพราะแหล่งน้ำมันใหม่มักมีต้นทุนสูง แต่ความคิดเช่นนั้นไม่เป็นจริงในปัจจุบัน เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่สามารถสกัดน้ำมันชั้นหินดินดาน (shale oil) ด้วยต้นทุนต่ำ ยังมีกำไรแม้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สหรัฐจากเดิมที่เป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลกกลายเป็นประเทศที่มีกำลังผลิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก (แซงซาอุฯ หรือใกล้เคียงกัน) แต่ยังคงนโยบายผลิตเพื่อมุ่งบริโภคภายในประเทศเท่านั้น ถึงกระนั้นเมื่อสหรัฐลดการนำเข้าคลายแรงกดดันต่ออุปสงค์ของตลาดโลก เป็นอีกปัจจัยผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัว (นอกจากปัจจัยอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจโลกโตช้า) รัฐบาลสหรัฐไม่กังวลราคาน้ำมันดิบโลกจะสูงเกินไปอีกแล้ว
ประการที่ 2 ผู้ผลิตบางประเทศลดการส่งออก
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศผู้ผลิตบางประเทศลดการส่งออก โดยเฉพาะลิเบีย เวเนซุเอลา และอิหร่าน ด้วย 2 สาเหตุหลักคือ ความวุ่นวายภายในประเทศกับถูกสหรัฐคว่ำบาตร
ทันทีที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศจะไม่ผ่อนผันอีกแล้ว รัฐบาลซาอุฯ กับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ออกมาขานรับทันทีว่าจะดูแลให้ตลาดโลกมีอุปทานน้ำมันอย่างเพียงพอ
ฝ่ายซาอุฯ ยืนยันว่าจะร่วมกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันไม่ปล่อยให้น้ำมันขาดตลาด Khalid Al-Falih รมต.พลังงานประกาศพร้อมขายน้ำมันแก่ทุกประเทศที่เคยซื้อน้ำมันจากอิหร่าน พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตป้อนตลาดโลก
มีผู้ประเมินว่าความพยายามล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์จะลดการส่งออกน้ำมันอิหร่านได้อีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นเม็ดเงิน 60 ล้านดอลลาร์ต่อวัน หรือ 21,600 ล้านดอลลาร์ต่อปี เป็นเม็ดเงินที่อิหร่านต้องสูญไป หรือพูดอีกอย่างคือมีบางประเทศที่รับเงินก้อนนี้แทน
ข้อสังเกตคือประเทศที่เกิดความวุ่นวายภายในหรือถูกคว่ำบาตร รัฐบาลสหรัฐล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญ และไม่มีทีท่าว่าในระยะเวลาอันใกล้ประเทศเหล่านั้นจะกลับมาส่งออกน้ำมันได้ตามปกติ
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ นโยบายของรัฐบาลสหรัฐ (ทั้งรัฐบาลจากพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกัน) เป็นผลดีต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่เหลือ จะเรียกว่านโยบายกดดันสุดขีด คือนโยบายเพิ่มยอดขายให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่เป็นมิตรกับรัฐบาลทรัมป์ก็ได้ ช่วยให้ประเทศเหล่านี้มีเงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น มีงบประมาณมากขึ้น สามารถซื้ออาวุธ MADE IN USA ได้มากขึ้น ทดแทนราคาน้ำมันที่เคยอยู่เกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่แถว 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในขณะนี้
หากต้องการทราบจริงๆ ว่าประเทศใดได้รับอานิสงส์นี้ สามารถติดตามยอดการส่งออกของแต่ละประเทศ
ข้อสรุปคือ การล้มระบอบอิหร่านเป็นเรื่องอีกไกล แต่ช่วยรักษาภาวะถูกกดดันคว่ำบาตร เช่นเดียวกับความไม่สงบในลิเบีย เวเนซุเอลา สิ่งที่เป็นรูปธรรมคือปริมาณการส่งออกที่เปลี่ยนไป บางประเทศส่งออกมากขึ้น โควตาน้ำมันที่เคยมีต้องเปลี่ยนไปโดยปริยาย
ประการที่ 3 การจัดระเบียบซื้อขายน้ำมันโลก
ถ้ามองในกรอบแคบ นโยบายสหรัฐคือกีดกันการส่งออกน้ำมันอิหร่าน ให้ประเทศที่เคยนำเข้าน้ำมันอิหร่านหันไปซื้อน้ำมันจากผู้ส่งออกอื่นๆ คาดหวังว่าในที่สุดประเทศผู้ซื้อน้ำมันอิหร่านจะลดลง (เหลือเพียงประเทศที่ควบคุมไม่ได้ เช่น จีน อินเดีย) ผลอีกอย่างคือ ยอดขายของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่เป็นมิตรกับสหรัฐจะเพิ่มขึ้น นับเป็นผลสำเร็จของนโยบายกดดันสุดขีดของรัฐบาลทรัมป์
มุมมองที่กว้างขึ้นคือ การจัดระเบียบการซื้อขายน้ำมันโลก นานาประเทศทั่วโลกจะต้องซื้อน้ำมันจากประเทศผู้ส่งออกที่เป็นมิตรสหรัฐเท่านั้น
รัฐบาลสหรัฐร่วมกับประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ควบคุมราคา ปริมาณการส่งออก-นำเข้า น้ำมัน ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญทั้งในมุมยุทธปัจจัย ความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การใช้ในชีวิตประจำวัน และเกี่ยวข้องกับการใช้สกุลเงินดอลลาร์เป็นสกุลหลักของโลก
ข้อสรุปคือ เมื่ออิหร่านต้องการขายน้ำมันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ รัฐบาลสหรัฐจึงใช้ข้อนี้เป็นเครื่องมือจัดการอิหร่านพร้อมกับควบคุมราคาน้ำมันโลก หรือพูดอีกอย่างคือ ตั้งใจเล่นงานอิหร่านเพื่อใช้ประเด็นนี้ควบคุมราคาน้ำมันโลก
ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่านโยบายกดดันสุดขีด (maximum pressure) จึงไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นงานอิหร่านเท่านั้น มีผลต่อการจัดระเบียบการผลิต การส่งออกน้ำมันทั่วโลกและอื่นๆ.
------------------------------
ภาพ : แท่นขุดเจาะน้ำมัน
ที่มา : https://unsplash.com/photos/GrmwVnVSSdU
การห้ามนานาประเทศซื้อน้ำมันอิหร่านไม่ใช่เรื่องการคว่ำบาตรอิหร่านเท่านั้น ยังมีผลโดยตรงต่อระเบียบการซื้อขายน้ำมันโลก หลายประเทศต้องมุ่งนำเข้าน้ำมันจากผู้ส่งออกที่เป็นมิตรกับสหรัฐเท่านั้น
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |