พรรคกปปส.ฝัน30-50ที่นั่ง พธ.ใหม่แบะท่าหนุนบิ๊กตู่


เพิ่มเพื่อน    

    "อภิสิทธิ์" ย้ำประชาธิปัตย์ต่างอุดมการณ์กับพรรคสุเทพ ยันไม่หนุนคนนอกเป็นนายกฯ ยกเว้นพรรคได้รับเลือกน้อยต้องเจียมตัว  กระตุกหนวดลุงตู่ รัฐบาล คสช.บริหารแบบรวมศูนย์อำนาจกลับไปสู่รัฐข้าราชการ เปิดตัวพลังธรรมใหม่แบไต๋หนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯ โฆษก คสช.เตือน "อยากเลือกตั้ง" ห้ามล้อเลียนท่านผู้นำ เตรียมงัดมาตรการหนักไปหาเบา
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งพรรคใหม่ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศว่า ถือว่าการมีพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน ซึ่งเป็นปกติธรรมดา และสิ่งที่นายสุเทพพูดในการก่อตั้งพรรค คือการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คงเป็นจุดที่เป็นความแตกต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าการลงสมัครรับเลือกตั้งการจัดทำนโยบาย การเสนอตัวบุคลากรเข้าไปทำงาน 
    "เราสนับสนุนคนที่มีความคุ้นเคย มีส่วนร่วมกับอุดมการณ์นโยบายของพรรค ซึ่งโดยปกติก็จะเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และพรรคยังยึดถือแนวทางนี้"
    เขากล่าวว่า หลังจากการปลดล็อก ก็จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคกันใหม่ ไม่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะมาสมัครเป็นสมาชิก หรือจะมาเป็นผู้บริหารของพรรค เพราะฉะนั้นเมื่อนายสุเทพมองว่าไม่มีพรรคการเมืองที่จะมารองรับแนวทางการสนับสนุนนี้ นายสุเทพก็สามารถที่จะไปตั้งพรรค เพื่อที่จะผลักดันเป้าหมายตรงนี้ได้
    เมื่อถามว่า จุดร่วมของคนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายของนายสุเทพกับพรรคประชาธิปัตย์คืออะไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า จุดร่วมยังเหมือนเดิม พรรคต่อต้านการคอร์รัปชัน ต่อต้านระบอบเผด็จการที่แฝงตัวเข้ามาในประชาธิปไตย และต้องการเห็นการปฏิรูป แต่พรรค เห็นว่าที่ผ่านมาแนวคิดและแนวทางของรัฐบาลปัจจุบันในการปฏิรูปไม่สอดคล้องกับการปฏิรูปทั้งการเมือง การปกครอง ราชการ การศึกษา ท้องถิ่น และอื่นๆ ตอนที่มีการพูดจากันมากเรื่องการปฏิรูปประเทศขณะนั้น หัวใจของการปฏิรูปมุ่งไปสู่การกระจายอำนาจ 
ได้น้อยต้องเจียมตัว
    "แนวทางการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันนี้ค่อนไปในทางการรวมศูนย์อำนาจ แล้วก็กลับไปสู่ระบบรัฐที่ค่อนข้างเป็นราชการมากๆ ดังนั้นแม้จะพูดว่ามีการสนับสนุนการปฏิรูปเหมือนกัน แต่แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา ทุกพรรคก็มีจุดที่เหมือนกันและต่างกัน"
    ถามว่า ในกลุ่มของสมาชิกพรรคหรือฐานเสียง กลัวว่าจะถูกแบ่งไปทางนายสุเทพหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดา มีพรรคการเมืองใหม่เขาก็ต้องมาแสวงหาการสนับสนุน สมาชิกพรรค หรือว่าผู้สนับสนุนพรรค รวมทั้งผู้ที่เคยลงคะแนนให้พรรค เขาก็ต้องมีการทบทวนการตัดสินใจอยู่เป็นระยะๆ อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ และพรรคประชาธิปัตย์ก็เผชิญกับภาวะอย่างนี้มาหลายครั้ง
    ซักว่าคุยไปไกลถึงขั้นว่าถ้าหลังเลือกตั้งแล้วจะกลับมาร่วมงานกันได้หรือไม่สำหรับ 2 พรรคนี้ นายอภิสิทธิ์แจงว่า เรื่องการร่วมงานหลังการเลือกตั้งพรรคต้องยึดเอาอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่ไปเสนอต่อประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าเราได้รับการสนับสนุนมาเยอะจากประชาชน ก็ต้องเอาแนวทางของเราเป็นตัวตั้ง ใครจะมาทำงานกับเราก็ต้องสนับสนุนแนวทางเรา ถ้าไม่มาสนับสนุนเราก็จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ได้รับการสนับสนุนมาเยอะ แต่คนอื่นเขาได้รับการสนับสนุนมาเยอะกว่า อย่างนี้ตนก็ต้องเจียมตัว พรรคประชาธิปัตย์ต้องเจียมตัว แล้วก็รอดูว่าแล้วเงื่อนไขของเราคือจะมีบทบาทอย่างไร ก็ต้องมาว่ากันต่อไป
    เมื่อสมมติว่าพรรคของนายสุเทพชนะมากกว่า แล้วหนุนคนนอกเป็นนายกฯ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคต้องมาประชุมกันว่าตกลงเราคิดว่าจะเป็นอย่างไร จะสนับสนุนใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะไปร่วมรัฐบาลหรือไม่ จะเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ อย่างไรก็ต้องมาว่ากัน ซึ่งก็ต้องไปดูจากทิศทางของการนำพาบ้านเมืองในขณะนั้นเป็นหลัก
    นายไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวว่า ในวันที่ 2 มี.ค. จะมี 3 ตัวแทนของพรรคประชาปฏิรูป ไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเข้าคิวยื่นเอกสารตามที่ กกต.กำหนด เพื่อขอจองชื่อจดตั้งพรรคการเมืองใหม่ จากนั้นต้นสัปดาห์ถัดไป พรรคประชาชนปฏิรูปจะดำเนินการตามคำสั่ง คสช.ที่ 53/2560 โดยส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือขออนุญาต คสช. เพื่อประชุมพรรคการเมือง
เปิดตัวพลังธรรมใหม่
    ที่โรงแรมเอเซีย พรรคพลังธรรมใหม่ นำโดย นพ.ระวี มาศฉมาดล อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรม แกนนำกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย (กคป.) นำสมาชิกพรรคและว่าที่ผู้สมัคร อาทิ นายอาทร พาทีพัฒนะ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังธรรม,นายสมบูรณ์ ทองบุราน อดีต ส.ส.พรรคพลังธรรม แถลงข่าวเปิดตัวพรรคพลังธรรมใหม่ 
    โดย นพ.ระวีกล่าวว่า พรรคพลังธรรมเดิมได้ถูกยุบมาประมาณกว่า 10 ปีแล้ว แต่เพราะสังคมไทยเกิดวิกฤตการณ์รอบด้าน ก่อให้เกิดการขัดแย้งแตกแยกคอร์รัปชันโกงกิน ทุกรัฐบาลประเทศตกต่ำ จนหลายประเทศในอาเซียนด้วยกันแซงหน้าประเทศไทยไป จากวิกฤติพวกนี้จึงก่อให้เกิดพรรคพลังธรรมใหม่ขึ้น เพื่อนำประเทศไทยให้หลุดพ้นจากวิกฤติทั่วด้าน โดยเจตนารมณ์ที่สำคัญที่สุดของพรรคคือการสืบทอดเจตนารมณ์ของความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใสของพรรคพลังธรรมเดิมเป็นแนวทางหลักของพรรค พรรคจะสร้างระบบที่เข้มแข็ง ตามหลัก ”ระบบดีทำให้ผีกลายเป็นคนระบบไม่ดี ทำให้คนดีๆ กลายเป็นผี”
    เมื่อถามถึงบุคคลที่จะถูกวางเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น นพ.ระวีตอบว่า เมื่อเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ทางพรรคก็จะมีบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตจำนวน 3 คน โดยมีมีชื่อของหัวหน้าพรรคเป็นหนึ่งในนั้น แต่ในขณะนี้ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะมีการเลือกตั้ง ตนจึงขอยังไม่เปิดเผยรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในวันนี้ 
    ถามว่าถ้านายกฯ เป็นคนนอกอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ พรรคพลังธรรมใหม่จะสนับสนุนหรือไม่ นพ.วีระตอบว่า พรรคจะเลือกคนดี มีคุณธรรม มีความสามารถขึ้นเป็นนายกฯ ถ้าพรรคได้คะแนนเสียงเกิน 25 คะแนน พรรคก็จะเสนอชื่อบุคคลของพรรคเพื่อชิงตำแหน่งนายกฯ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่าสามารถทำได้ แต่ถ้าพรรคได้คำแนนเสียงต่ำกว่า 25 คะแนน เราก็ไม่สามารถเสนอชื่อได้ เราก็จะเลือกคนที่ดีที่สุด ถ้าภายในไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ต้องเลือกคนนอก ซึ่งทางพรรคพลังธรรมใหม่ไม่ปฏิเสธพล.อ.ประยุทธ์ 
    เมื่อถามถึง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตหัวหน้าพรรคพลังธรรมเก่า เขาตอบว่า ได้คุยกันเมื่อวาน ท่านตัดสินใจ รักษาสัจวาจาที่มีประกาศเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองและพรรคพลังธรรมใหม่อย่างแน่นอน เนื่องจากอายุมากแล้วประสิทธิภาพเริ่มลดลง โดยท่านได้มอบหมายให้พลังธรรมรุ่น 2 เป็นผู้ดำเนินการพรรคต่อไป 
    แหล่งข่าวจากคณะทำงานร่วมจัดตั้งพรรคการเมือง กปปส. หรือพรรคมวลมหาประชาชนฯ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา นายสุเทพและแกนนำ กปปส.ที่ใกล้ชิดกับนายสุเทพ ได้ร่วมหารือกันตลอดถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการทำพรรค โดยได้วางแนวทางพรรคไว้ว่าจะให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง เป็นพรรครูปแบบใหม่  โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและร่างรัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับคับพรรค ที่เบื้องต้นคือจะมีกรรมการบริหารหรือคณะผู้บริหารพรรคที่มีอำนาจเต็มไม่เกิน 9 คน ที่จะเป็นผู้มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับในสังคม ส่วนหัวหน้าพรรคจะเขียนไว้ว่า ให้อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 ปี ต้องเลือกและเปลี่ยนหัวหน้าพรรคทุกๆ สองปี โดยใช้ระบบสมาชิกพรรคมาร่วมโหวต จะได้ไม่ให้อยู่ในตำแหน่งนานเกินไป และให้สมาชิกพรรคต้องมีส่วนร่วมกับพรรคตลอด เช่น การจ่ายเงินค่าบำรุงพรรควันละหนึ่งบาท ที่ก็คือปีละสามร้อยเจ็ดสิบห้าบาท ส่วนหัวหน้าพรรค  เลขาธิการพรรค ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอการตัดสินใจของคนที่มีการไปติดต่ออยู่ 
    "เบื้องต้นวงหารือประเมินกันว่าหากดูจากแนวร่วมกปปส.และกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส. รวมถึงฐานเสียงต่างๆ ก็น่าจะได้ ส.ส.ประมาณ 30-50 เสียง เพราะเกณฑ์ที่ กกต.เคยประเมินไว้จากระบบเลือกตั้งในปัจจุบันที่เป็นระบบคิดทุกคะแนนเสียง หรือทุกคะแนนไม่ มีตกน้ำ โดยนำทุกคะแนนมาคิดรวมหมดแล้วหารออกมาเป็นจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เบื้องต้นกกต.และ สนช.ที่ร่วมยกร่างกฎหมายเคยประเมินไว้คืออยู่ที่ 70,000-75,000 คะแนน ก็ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์หนึ่งคน ดังนั้นหากดูจากฐาน กปปส.แล้ว แม้ต่อให้คนของพรรคมวลมหาประชาชนฯ แพ้ประชาธิปัตย์หมดในภาคใต้ แต่ถ้าแพ้โดยได้อันดับสอง แล้วรวมกับทุกคะแนนทั่วประเทศ ก็น่าจะทำได้ตามเป้า" แหล่งข่าวเปิดเผย 
ไม่เชื่อคำพูด "บิ๊กตู่"
    นายนพดล ปัทมะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่นายกฯ พูดว่าการเลือกตั้งจะเกิดไม่เกิน กุมภาพันธ์ 2562 และข่าวที่รัฐบาลจะเชิญพรรคการเมืองมาคุยเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้งและการปลดล็อกในเดือนมิถุนายนนั้น ตนยังไม่ปักใจเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เนื่องจากมีการกำหนดเวลาเลือกตั้งหลายครั้ง แต่เลื่อนมาเรื่อย ครั้งนี้จะเลื่อนอีกหรือไม่ ไม่รู้ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
        และที่ระบุว่าจะคุยเรื่องปลดล็อกพรรคการเมืองในเดือนมิถุนายนนั้น การดำเนินการเรื่องนี้ช้าไปหรือไม่ ตนเห็นว่าได้เวลาเปิดให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้แล้ว ไม่ทราบว่าจะกังวลอะไรกับการปลดล็อก เพราะเป็นไปได้ยากที่กิจกรรมของพรรคการเมืองจะกระทบความมั่นคงของ คสช.และรัฐบาล เนื่องจากคงไม่มีพรรคใดไปสร้างความวุ่นวาย และคงจะวุ่นกับการเตรียมการเรื่องฐานสมาชิก ทำไพรมารีผู้สมัคร จัดทำนโยบาย เพื่อเตรียมการเลือกตั้ง และคงไม่กล้าทำอะไรฝืนความรู้สึกของประชาชน ถ้าอุปมาการเลือกตั้งเหมือนแข่งโอลิมปิก ก็ควรเปิดให้ผู้แข่งขันมีเวลาซ้อมแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ไม่กี่เดือนก่อนแข่ง 
       “คนไทยควรเลิกหวาดระแวงกันและหันมาสร้างความไว้วางใจระหว่างกันเพื่อนำประเทศกลับสู่ความเป็นปกติสุข ด้วยการยกเลิกข้อห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม ยกเลิกข้อห้ามประชาชนชุมนุมตั้งแต่ห้าคน รวมทั้งยุติการดำเนินคดีกับประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ถ้าทำได้ คนไทยมีความสุขเพิ่มแน่” นายนพดลกล่าว
    ด้าน พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะทีมโฆษก คสช. กล่าวเปิดเผย คสช.ได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่มีการจัดกิจกรรมปราศรัยโจมตี คสช.ทุกวันเสาร์ว่า ต้องสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชน ยืนยันที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์มีการชี้แจงโรดแมปที่กำหนดกรอบเวลาการเลือกตั้งที่ชัดเจนมาตลอด แต่ก็ยังมีการออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งต้องฝากให้สถานศึกษาซึ่งเป็นสถานที่จัดงานพิจารณาความเหมาะสมด้วย ส่วนพื้นที่สาธารณะ ต้องดูว่ามีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 
ปรามผู้ชุมนุม
    ขณะเดียวกัน ไม่กังวลที่การเคลื่อนไหวมีนักการเมืองเข้ามาร่วมด้วย เช่น นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย และเริ่มมีมวลชนมากขึ้นในแต่ละสัปดาห์นั้น ถือว่ายังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ คสช.ก็มีการจับตา และขอความร่วมมือสื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม และไม่บิดเบือนเพื่อสร้างกระแส และต้องปราม เตือนกล่มผู้ชุมนุมถึงความเหมาะสมในการจัดกิจกรรมล้อเลียนผู้นำ เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ไม่ควรที่จะคิดมโนเอาเอง ด้วยการนำการ์ตูนมาล้อเลียน เหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมา เบื้องต้นจะมีการใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก  ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีมวลชนเข้ามาชุมนุมมากขึ้น แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยดี 
     พล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ โฆษกกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่า กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายได้พิจารณาทบทวนร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว.เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมเพื่อตรวจเนื้อหาและถ้อยคำ ความถูกผิดในร่างกฎหมายทั้งฉบับ เป็นขั้นตอนทางธุรการ ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุม สนช.เพื่อลงมติในวันที่ 8 มี.ค.นี้ ยืนยัน กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว ไม่ได้ทำเกินอำนาจหน้าที่
    นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า เท่าที่ดูเนื้อหาร่างกฎหมายลูกทั้งสองฉบับที่ กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายได้ทบทวนเสร็จแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เท่าที่ดูสมาชิก สนช.ไม่มีใครติดใจ ถือว่า กมธ.ร่วม 3 ฝ่ายหาทางออกร่วมกันได้ดี มั่นใจว่า สนช.จะไม่มีการคว่ำร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับดังกล่าวซ้ำรอยการไม่เห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น กกต. 7 คน ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นภายในเดือน ก.พ.2562 แสดงว่าทุกอย่างลงตัว จบหมดแล้ว จะต้องเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้น สนช.จะไม่คว่ำกฎหมายลูกที่เหลือเด็ดขาด.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"