รัฐมนตรีพาเหรดไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง “เสี่ยหนู” โวดันกัญชาให้จบในยุคนี้ น้องเนวินโอ่คมนาคมยุคนี้ไม่มีค่าโง่ ผบ.เหล่าทัพประชุมลั่นเป็นกำแพงพิงหลังให้รัฐบาล ไม่ต้องกลัวแม้ คสช.สิ้นสภาพแล้ว ระบุให้อดใจรอดู “ชวน” ไฟเขียวให้พ่นน้ำลายยาวถึง 3 วัน หาก 2 วันไม่หนำใจ ไม่ห้ามเปลี่ยนบนเวทีแถลงนโยบายเป็นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ทำมาตลอด “เพื่อไทย” ฟุ้งมี 50 ส.ส.รอจองกฐิน 6 ด้าน 14 รัฐมนตรี ศรีสุวรรณเล็งยื่นเอาผิด “พ่อฟ้า-น้องช่อ” เดินสายดิสเครดิตประเทศ
เมื่อวันพฤหัสบดี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เข้าปฏิบัติภารกิจภายในทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 08.45 น. โดยไม่มีวาระงานหรือกำหนดการอย่างเป็นทางการ และเมื่อเวลา 14.30 น. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ได้เข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งคาดว่าจะหารือเกี่ยวกับการแถลงนโยบายรัฐบาล รวมทั้งอาจหารือถึงตำแหน่งทางการเมืองสำคัญที่ยังไม่ได้พิจารณา เช่น ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกฯ, รองเลขาธิการนายกฯ และผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างๆ เป็นต้น โดยใช้เวลาหารือประมาณ 40 นาที จากนั้นนายสมคิดได้ออกไปจากทำเนียบฯ ทันที โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางกลับบ้านพักในเวลา 15.10 น. ไล่เลี่ยกับนายสมคิด ซึ่งเร็วกว่าปกติที่เคยกลับในช่วงเวลา 16.00-16.30 น.
ขณะที่ พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ในฐานะคณะทำงานนายกฯ กล่าวว่า ในวันที่ 23 ก.ค. จะไม่มีประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยการประชุมจะเกิดขึ้นหลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาแล้ว
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวเช่นกันว่า ในวันที่ 23 ก.ค. ไม่มีการนัดหมายประชุม ครม. ซึ่งหากไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งประชุม เพราะ ครม.สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในตอนนี้ คือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประชุมข้าราชการเพื่อรับฟังปัญหา หรือลงพื้นที่เยี่ยมประชาชน ซึ่งไม่ต้องอาศัยอำนาจกฎหมาย แต่ถ้าเป็นการสั่งการตามข้อกฎหมาย ถือเป็นการบริหารราชการแผ่นดิน จะทำได้ก็ต่อเมื่อแถลงนโยบายแล้ว
นายวิษณุยังกล่าวว่า เดิมในวันที่ 23 ก.ค. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) นัดหมายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้แจงการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน แต่รัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็น ส.ส. เคยชินแล้ว และเมื่อยื่นในตำแหน่ง ส.ส.แล้วไม่จำเป็นต้องยื่นในตำแหน่งรัฐมนตรีอีก เนื่องจากต้องยื่นหลังเข้ารับตำแหน่งใน 60 วัน เป็นเวลาที่เหลื่อมล้ำกับที่ยื่นในตำแหน่ง ส.ส.พอดี สามารถยื่นฉบับเดียวแล้วและเขียนจดหมายปะหน้าว่ายื่นอีกตำแหน่งหนึ่งได้ ส่วนรัฐมนตรีในรัฐบาลเดิมที่มาเป็นต่อเนื่อง กฎหมายระบุว่าไม่ต้องยื่นก็ได้ แต่เท่าที่ทราบทุกคนพร้อมใจกันยื่นบัญชีทรัพย์สิน
แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงตำแหน่งโฆษกรัฐบาลว่า ผู้ใหญ่ในพรรครวมถึง ส.ส.ส่วนใหญ่ต้องการให้นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรค พปชร. ดำรงตำแหน่งโฆษก เพราะที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่คอยปกป้องพรรคและ พล.อ.ประยุทธ์มาโดยตลอด ขณะที่นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. แม้เป็นคนมีความรู้ความสามารถ เป็นนักวิชาการ แต่ยังไม่เชี่ยวชาญงานด้านการเมือง จึงอาจไม่ทันเกมของฝ่ายค้าน ในสถานการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นมาก โดยได้เสนอทั้ง 2 รายชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาตัดสินไปแล้ว
แหล่งข่าวจาก พปชร.แจ้งว่า เมื่อช่วงสายวันที่ 18 ก.ค. แกนนำรัฐบาลที่มีบทบาทสูงในการจัดตั้งรัฐบาลได้เปิดเซฟเฮาส์ให้ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค โดยเฉพาะพรรคขนาดกลางและเล็ก ส่งรายชื่อบุคคลที่แต่ละพรรคจะเสนอรายชื่อไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้ ครม.อนุมัติใน 3 ตำแหน่งหลัก คือ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี เพื่อทำโผก่อนส่งชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณา ซึ่งในช่วงเย็นได้มีการส่งชื่อไปแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่ม 10 พรรคเล็กที่พลาดเก้าอี้รัฐมนตรี โดยทั้ง 10 พรรคต่างเสนอรายทั้งหมด ทำให้รายชื่อซ้ำกระทรวงกันด้วย
“พรรคเล็กพร้อมใจส่งชื่อไปเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ อาทิ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง มี พรรคประชานิยมและพรรคพลังชาติไทยเสนอตัว พรรคประชาธิปไตยใหม่ขอโควตามหาดไทย พรรคครูไทยขอไปดูศึกษาธิการ พรรคไทยศรีวิไลย์ขอไปกระทรวงการคลัง ทำให้เมื่อแกนนำรัฐบาลอ่านรายชื่อเหล่านี้ได้บ่นว่าแบบนี้คงไม่ยุติ จึงขอเวลาไปหารือกับนายกฯ ก่อน โดยคิดว่าน่าจะพิจารณารายชื่อหลังอภิปรายนโยบายรัฐบาล” แหล่งข่าวระบุ และว่า ส่วนพรรคที่ไม่เคยเรียกร้องอย่างพรรคพลังท้องถิ่นไทนั้นอาจมีการมอบเก้าอี้ประธาน กมธ.สามัญหนึ่ง
รมต.พาเหรดเข้ากระทรวง
วันเดียวกัน รัฐมนตรีในรัฐบาลได้เริ่มเข้ากระทรวง และประกาศถึงแนวโยบายต่างๆ โดยเมื่อเวลา 10.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) และนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สธ. ได้เข้าประชุมรับฟังการดำเนินงานจากผู้บริหาร สธ. ซึ่งนายอนุทินระบุว่า มีโอกาสกลับมาที่ สธ.อีกครั้งเป็นครั้งที่ 5 สธ.จึงเปรียบเสมือนญาติกัน โดย สธ.ถือเป็นกระทรวงที่มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อประเทศและคนไทย เป็นกระทรวงครอบจักรวาล มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกๆ เรื่อง จึงมีสโลแกนว่าลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ร่างกายแข็งแรง
“การทำงานระหว่างฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำจะทำแบบบูรณการร่วมกัน ไม่มีพรรค ไม่มีพวก มีแต่เรื่องบ้านเมือง ความผาสุก ปากท้องที่ดีขึ้นของประชาชน มั่นใจว่าจะทำร่วมกันได้อย่างดี และนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคของ รมช.สธ. พรรคร่วมรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ถ้าเป็นประโยชน์ก็พร้อมผลักดันทุกเรื่อง” นายอนุทินระบุ
นายอนุทินยังกล่าวถึงนโยบายเรื่องกัญชา เรื่องกัญชงและกัญชาอยากให้จบในสมัยนี้ ไปให้ไกลที่สุด และจะทำให้เต็มที่ ตรงไหนที่เป็นคอขวด เป็นอุปสรรค ถ้าอยู่ภายในขอบข่ายของ สธ.เองหลุดแน่นอน โดยเรื่องหลักจะใช้ทางการแพทย์เป็นสเต็ปแรก ส่วนสันทนาการจะเป็นผลพลอยได้ในสเต็ปต่อไป
นายสาธิตกล่าวว่า งานที่อยากเห็นมีอยู่ 3 ส่วน คือ 1.การรณรงค์ให้ประชาชนใส่ใจเรื่องของการออกกำลังกาย 2.การพัฒนาระบบบริการ ลดความแออัดในโรงพยาบาลทุกระดับ และ 3.การใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนในการสนับสนุนการให้บริการประชาชน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในข้อมูลสุขภาพของตัวเอง
ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พร้อมนายนิพนธ์ บุญญามณี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ร่วมประชุมหารือข้อราชการกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และจังหวัดทุกจังหวัดในสังกัด มท. โดย พล.อ.อนุพงษ์ยืนยันว่า จะเน้นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน หลีกเลี่ยงการทำงานแบบแยกส่วน และจะฟังแนวนโยบายรัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนไปสู่การปฏิบัติ
ส่วนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยคณะทำงาน เดินทางไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับงานด้านยาเสพติด โดยยังไม่มีการให้นโยบาย
ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม พร้อมนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ และนายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม ได้ทำพิธีสักการะพระพุทธคมนาคมบพิธ พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงคมนาคม ก่อนพบปะผู้บริหารระดับสูง โดยนายศักดิ์สยามกล่าวว่า คมนาคมในยุคนี้จะไม่มีเรื่องค่าโง่เด็ดขาด และหลังแถลงนโยบายจะเร่งแบ่งงานและกำหนดนโยบายอย่างเร็วที่สุด ส่วนนโยบายผลักดัน Grab ให้ถูกกฎหมาย ยืนยันว่าได้บรรจุนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดไว้แล้ว
นายถาวรกล่าวว่า จะยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก โดยจะร่วมกันทำงานอย่างมุ่งมั่น และสื่อสารผ่านสื่อมวลชน ซึ่งถือเป็นกระบอกเสียง เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่ามีนโยบายใดบ้างที่จะดำเนินการ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ด้านนายอธิรัฐยืนยันว่า รัฐมนตรี 3 คนสามารถทำงานร่วมกันได้ แม้มาจากต่างพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะสามารถทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เดินทางมากระทรวงในเวลา 15.19 น. พร้อมไหว้ศาลพระพรหมณ์ประจำกระทรวง และลงนามถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนร่วมประชุมกับผู้บริหารกระทรวง โดยยืนยันว่าจะดูแลราคาพลังงานทุกประเภทให้ลดภาระประชาชนได้ รวมทั้งต้องสร้างรายได้เป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนาความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจประเทศ ส่วนที่มองว่ากระทรวงพลังงานเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางการเมืองนั้นไม่อยากให้มองเช่นนั้น เพราะข้าราชการมีความตั้งใจ การมองเช่นนั้นจะทำให้เสียกำลังใจ โดยภายใต้การบริหารของตนเอง จะดำเนินการอย่างโปร่งใส สิ่งที่เข้าใจผิดต้องได้รับการแก้ไข
เมื่อเวลา 07.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนพาสื่อมวลชนชมห้องทำงานที่ชั้น 2 ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งได้นำพระพุทธรูปนิรันตราย 2515 วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม มาไว้ที่ห้องทำงานเพื่อบูชาด้วย
กองทัพหนุนหลังรัฐบาล
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศิริ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยก่อนการประชุมได้มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทหาร โดยมี พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะผู้บัญชาการทหารเข้าร่วม โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที
จากนั้น เวลา 11.30 น. พล.ต.กฤษณ์ จันทรนิยม โฆษกกองทัพไทย แถลงข่าวว่า พล.อ.พรพิพัฒน์ได้เน้นย้ำและทำการตกลงกับเหล่าทัพเกี่ยวกับจุดยืนของกองทัพยังคงเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ภายใต้จุดยืนที่สำคัญ คือ พิทักษ์ปกป้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน การดำเนินการของกองทัพไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติในอนาคต
เมื่อถามว่า บทบาทของทหารดูแลความสงบเรียบร้อยบ้านเมือง หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สิ้นสภาพไปแล้ว พ.ต.กฤษณ์กล่าวว่า พล.อ.พรพิพัฒน์เน้นย้ำกำลังพลในกองทัพไทย ขอให้อดใจรอคอยดูแลและเป็นกำลังการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ยังมีเวลา ขณะกำลังเริ่มต้น กองทัพจะใช้ศักยภาพที่มีอยู่ทำงานภายใต้จุดยืนที่ได้กล่าวไปข้างต้น
สำหรับความคืบหน้าในการแถลงนโยบายรัฐบาลนั้น นายวิษณุกล่าวว่า รอให้ พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจง ซึ่งร่างอยู่ระหว่างจัดพิมพ์ เข้าใจว่าจะส่งไปให้สภาได้ใน 1-2 วันนี้ เมื่อประธานสภาฯ ได้รับแล้ว ต้องแจกจ่ายให้สมาชิกทั้งหมด 750 คน ล่วงหน้า 3 วันก่อนวันแถลงนโยบาย ส่วนกรณีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ระบุนโยบายแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วนต้องทำใน 1 ปีนั้น เข้าใจกันว่านโยบายเร่งด่วนเป็นสิ่งที่จะทำใน 1 ปี หรืออาจสั้นกว่า อยู่ที่ว่าจะเขียนนโยบายอย่างไร แต่รัฐบาลนี้แบ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนกับนโยบายทั่วไป ที่ไม่ได้ระบุเวลานโยบายข้อใดทั้งสิ้น ซึ่งคำว่าเร่งด่วนคือต้องรีบทำอยู่แล้ว แต่ต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม ปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ อาจเป็นเรื่องที่ต้องทำก่อน
“นโยบายของแต่ละพรรคเมื่อรวมกันแล้วต้องยึดหลักหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายของรัฐ ยุทธศาสตร์ศาสตร์ชาติขึ้นก่อน จากนั้นนำนโยบายของพรรคมาผสมให้เข้ากันได้ จะยึดของพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้ และต้องไม่ทิ้งประเด็นที่แต่ละพรรคให้ไว้ ส่วนที่นายจุรินทร์ระบุสิ่งแรกที่ต้องทำในการแก้รัฐธรรมนูญ คือ หมวดที่ว่าด้วยการแก้รัฐธรรมนูญนั้น ไม่ทราบรายละเอียด ได้ยินแต่ว่าจะแก้ เอาไว้ฟังในสภาแล้วกัน”นายวิษณุระบุ
นายเทวัญกล่าวถึงท่าทีของพรรคชาติพัฒนากับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าคงต้องคุยกันในพรรคและต้องคุยกันในพรรคร่วมรัฐบาลอีกที ส่วนการอภิปรายเรื่องนโยบายนั้น ก็ไม่ต้องระมัดระวังอะไร ซึ่งฝ่ายค้านซักฟอกเป็นกติกาปกติ เป็นเรื่องของสภา ซึ่งตอนนี้ก็เตรียมพร้อมทำงานอย่างเต็มที่
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเรียกร้องให้เปิดอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นเวลา 3 วัน ภายหลังนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ออกมาระบุอภิปราย 2 วันก็เพียงพอ ว่าเราได้ออกระเบียบวาระการประชุมเป็น 2 วัน คือ 25-26 ก.ค. ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าอภิปรายไม่เสร็จ สามารถอภิปรายต่อได้ในวันที่ 27 ก.ค. แต่ไม่เกิน 3 วัน ซึ่งยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดจากคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และวิปฝ่ายค้านจะหารือว่าฝ่ายใดจะอภิปรายได้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะบริหารเวลากันเอง และเมื่อจบก็ขอให้จบ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะรู้สึกว่าสภาเหมือนเด็กเล่น ส่วนของ ส.ว.ก็มีสิทธิ์อภิปรายเหมือน ส.ส. แต่ส่วนใหญ่ ส.ว.จะไม่ได้ใช้สิทธิ์มากเท่าส.ส.
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านระบุว่าการอภิปรายจะพูดถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีด้วยสามารถทำได้หรือไม่ นายชวนชี้แจงว่า ระเบียบข้อบังคับการประชุมรัฐสภากำหนดไว้ว่าการอภิปรายในเรื่องของความเป็นไปได้ของนโยบายหรือการที่นโยบายจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาก็มีสิทธิ์อภิปรายความสามารถของบุคคลนั้นๆได้ ส่วนที่กังวลที่ว่าจะใช้เวทีอภิปรายนโยบายเป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจย่อยๆ นั้นเขาก็ทำมาโดยตลอด
“เรื่องนี้มีระเบียบอยู่แล้วว่าจะอภิปรายได้เพียงใด แต่สิ่งที่ต้องย้ำคือการบริหารเวลา ถ้าบริหารได้จริงสภาจะไม่เสียเวลามากนัก แต่จะทำให้คนอภิปรายได้ประโยชน์มากขึ้น” นายชวนกล่าวตอบเรื่องหนักใจในการดูแลการอภิปรายหรือไม่
จองกฐิน 14 รัฐมนตรี
ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุว่า มี ส.ส.แสดงความจำนงที่จะอภิปรายแล้วเกือบ 50 คน และจะมีการติวเข้ม โดยในวันที่ 22 ก.ค. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, นายอดิศร เพียงเกษ และนายจาตุรนต์ ฉายแสง จะมาเป็นวิทยากรอบรมให้ ยืนยันว่าการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลครั้งนี้จะเกิดประโยชน์กับการทำงานของรัฐบาลเอง แต่ถ้าหากรัฐบาลทำไม่ได้จริงๆ คำตอบสุดท้ายจึงจะเป็นการล้มรัฐบาล
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า เนื้อหาการอภิปรายนั้นจะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มคือ 1.ด้านเศรษฐกิจ 2.ด้านการเมือง 3.ด้านความมั่นคง 4.ด้านสังคม 5.ด้านการศึกษา และ 6.ด้านการกระจายอำนาจ โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเป็นผู้อภิปรายเปิดประเด็น ก่อนกลับมาสรุปในช่วงท้ายอีกครั้ง
นายอนุสรณ์ยังระบุถึงรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย ว่าได้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มคือ 1.กลุ่ม 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์, กลุ่มที่ 2 กลุ่มรัฐมนตรีที่มีคดีค้างอยู่คือ นายอุตตม สาวนายน, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล, น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายนิพนธ์, กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีคดีกบฏและเคยร่วมเดินขบวนล้มล้างรัฐบาลคือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และกลุ่มที่ 4 กลุ่มรัฐมนตรีที่ถือหุ้นสื่อคือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล, นายสาธิต และนายเทวัญ
ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. จะไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) ให้ตรวจสอบกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค.เดินทางไปต่างประเทศ และให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ ซึ่งมีเนื้อหาว่าจะให้สหรัฐอเมริกามาช่วยสร้างประชาธิปไตยให้ประเทศ เข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 และมาตรา 127 ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่แม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะไปเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ก็ถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติความมั่นคง
“ช่อ”ส่อตายน้ำตื้น
นายศรีสุวรรณยังกล่าวว่า ได้เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะทำงานของ ป.ป.ช. กรณีได้กล่าวหาร้องเรียน น.ส.พรรณิการ์ ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวหลายครั้งที่มีลักษณะเป็นการแสดงออกที่ไม่บังควรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันอาจเข้าข่ายความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยคณะทำงานได้สอบถามว่าหลัง น.ส.พรรณิการ์เป็น ส.ส.แล้วโพสต์เหล่านั้นยังปรากฏอยู่หรือไม่ และลบโพสต์ในวันที่ 10 มิ.ย.จริงหรือไม่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า น.ส.พรรณิการ์ไม่เคยลบข้อความแต่อย่างใด แม้ว่าบางข้อความจะผ่านมา 9 ปีแล้ว หรือโพสต์ล่าสุดในปี 2558 ก็ยังคงอยู่
นายศรีสุวรรณกล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้คณะทำงานด้วย และทราบว่าคณะทำงานจะเชิญสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข่าวมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์เฟซบุ๊กหลังนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.การต่างประเทศสหรัฐ ส่งสารแสดงความยินดีต่อรัฐบาลไทยว่า อ้าวแล้วพวกที่ลงทุนบินไปแอ๊บแบ๊วถึงสหรัฐด่ารัฐบาลไทยก็กินแห้ว จ๋อย หงอยสินะ บอกแล้วว่าสหรัฐทำได้ทุกอย่างตามนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนผลประโยชน์ America first ไง
นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าในขณะที่คุณส้มเน่าตระเวนให้สัมภาษณ์ดิสเครดิตประเทศตัวเอง ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐก็ออกแถลงการณ์ประกาศให้ความร่วมมือและสนับสนุนรัฐบาลลุงตู่ เพื่อคงความเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐต่อไป
นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กในเรื่องนี้ว่า จะให้เครดิต พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวไม่ได้ คนที่ควรได้เครดิตไปเต็มๆ คือ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.กต. และทีมงาน ที่ช่วยกันทำงานจนภาพพจน์ของประเทศไทยที่คนทั้งโลกมองเห็นนั้นเป็นไปในแนวที่ดีอย่างที่เห็นทุกวันนี้
"ผมอดที่จะพูดถึงคนบางคนที่เวลานี้ออกเดินสายพูดให้ร้ายประเทศไทยเสียหาย ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นไม่เคยคุยเรื่องดีต่อชาติเลย ทุกคนในต่างประเทศคงจะถามว่าคนนี้คือใคร มีตำแหน่งอะไรถึงต้องไปพบเขา และทุกคนที่ไปพบนั้นก็ไม่โง่ที่จะรู้ว่าคนนี้โดนสั่งพักงาน และยังมีคดีอยู่ในศาลที่พร้อมจะโดนถอดถอนตำแหน่งในเวลาอันใกล้นี้ และอาจโดนยุบพรรคเอาง่ายๆ จากคดีเงินสนับสนุนและคดีอื่นๆ อีกหลายคดี หากเปรียบเทียบสองเรื่องนี้แล้ว คนไทยคงจะเห็นครับ อะไรคือกลุ่มคนทำงานที่ประสบความสำเร็จ อะไรเป็นได้แต่กลุ่มคนแสดงปาหี่งูเห่ากัดกับพังพอน ขายยาโง่ๆ ตามงานวัด” นายภัทรระบุ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |