ตัวเลขออกมาว่าเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่สองของปีนี้หดตัวเหลือโตเพียง 6.2% ซึ่งต่ำสุดใน 27 ปี ยังไม่ทันข้ามคืนก็ได้เห็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนที่สุดมาจากโดนัลด์ ทรัมป์
ทรัมป์เขียนข้อความขึ้นทวิตเตอร์ทันทีว่า นี่คือฝีมือของแกเองที่กดดันให้จีนต้องยอมตามเงื่อนไขของอเมริกาในการแก้ปัญหาดุลการค้ากับปักกิ่ง
เรียกได้ว่าทรัมป์ "ซ้ำเติม" ใส่จีนอย่างออกนอกหน้า
ทรัมป์ไม่รู้จักคำว่า "การทูต" ไม่สำเหนียกถึง "มารยาท" และไม่เข้าใจว่าการที่แกออกมาตบหน้าสี จิ้นผิงอย่างไม่เข้าใจความสำคัญของการ "รักษาหน้า" ของอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะนำไปสู่ความล้มเหลวของการเจรจาอย่างไร
ข้อความทวิตเตอร์ของทรัมป์บอกว่า อัตราเติบโตเศรษฐกิจของจีนในไตรมาสที่สองนั้นชะลอตัวมากที่สุดใน 27 ปี
"การขึ้นภาษีสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ มีผลกระทบต่อบริษัทต่างๆ ที่ต้องการจะออกจากจีนไปอยู่ประเทศที่ไม่มีผลจากภาษี บริษัทหลายพันแห่งกำลังจะหนีจากจีน..."
ทรัมป์สำทับว่า
"นี่คือเหตุผลที่จีนต้องการจะหาข้อตกลงกับเรา..."
ทรัมป์ใช้ประโยคว่า "This is why China wants to make a deal"
คำว่า deal ของทรัมป์ในที่นี้หมายความว่าจีนกำลังเพลี่ยงพล้ำและหมดท่า เมื่อโดนอเมริกาบีบอย่างนี้ก็จำเป็นต้องยอมศิโรราบ
คิดว่าสี จิ้นผิงจะยอม "ก้มหัว" ให้ทรัมป์กระนั้นหรือ
ผมคิดว่าไม่
เพราะความ "ห่าม" ของทรัมป์ทำให้สี จิ้นผิงต้องคิดหนักว่า จะแสดงท่าทีอย่างไรจึงจะปกปักรักษาผลประโยชน์ของจีนโดยไม่นำไปสู่สงครามการค้าที่บานปลายมากไปกว่านี้
ทรัมป์เขียนในทวิตเตอร์ด้วยว่า จีนคงจะสำเหนียกแล้วว่าตัวเองไม่ควรจะ "ทำลายข้อตกลงที่เจรจากันไว้แต่แรก"
นั่นแปลว่าทรัมป์กำลังบอกว่ามีการต่อรองกันจนได้เงื่อนไขกันแล้วรอบหนึ่ง แต่จีนเปลี่ยนใจเองจึงทำให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้
อีกนัยหนึ่งทรัมป์กำลังบอกสี จิ้นผิงผ่านโซเชียลมีเดีย (ทั้งๆ ที่จะยกหูคุยกันผ่าน hotline ก็ได้) ว่า "เห็นไหมว่าคุณคิดผิดที่ไม่ยอมผมตั้งแต่ต้น หากคุณยอมผม วันนี้เศรษฐกิจของจีนก็จะไม่ย่ำแย่อย่างนี้"
ทรัมป์คุยโม้ต่อไปในทวิตเตอร์ว่า เพราะมาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนของเขานี่แหละ ที่ทำให้อเมริกามีรายได้เพิ่มขึ้นหลายพันล้านเหรียญ และจะยังมีเพิ่มมาอีกเรื่อยๆ
"และรายได้ที่เราได้เพิ่มจากจีนนั้นมาจากการที่จีนลดค่าเงินหยวนของตัวเองและปั๊มเงินเข้าระบบ ....ไม่ได้มาจากผู้เสียภาษีของอเมริกาเอง"
นั่นก็เป็นวิธีการสร้างวาทกรรมแบบของทรัมป์ที่ต้องการหาเสียงกับคนอเมริกัน ที่กำลังประเมินว่าตกลงใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะในสงครามการค้ากันแน่
ความจริงแล้วทั้งอเมริกาและจีนต่างก็เป็นผู้แพ้ในเกมนี้ เพราะเศรษฐกิจโลกถูกกระทบด้วยสงครามการค้า และสองยักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่กรณีต่างก็ได้รับผลทางลบด้วยกัน
อยู่ที่ใครจะยอมรับความจริงมากน้อยหรือปั่นข่าวให้ตัวเองดูดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ทรัมป์กับสี จิ้นผิงจับมือกันที่โอซากาและประกาศ "หยุดยิง" ชั่วคราวเพื่อกลับไปสู่โต๊ะเจรจา
วันนั้นทรัมป์บอกว่าทุกอย่างกำลังเดินไปด้วยดี และทั้งสองฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจารอบใหม่
วันนั้นจูบปากกัน
วันนี้ทรัมป์กลับชกหมัดตรงใส่สี จิ้นผิง
อย่างนี้การคาดหวังให้การเจรจารอบใหม่ในระดับรัฐมนตรีของสองประเทศบรรลุข้อตกลงกันได้ง่าย ๆ เห็นจะยากยิ่งขึ้น
สี จิ้นผิงต้องยอมกลืนเลือดระยะสั้น เพราะสำหรับจีนแล้วความอดกลั้นเป็นอาวุธสำคัญสำหรับการต่อรอง
เขารอให้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกปีเศษๆ ข้างหน้าชัดเจนก่อนว่าทรัมป์จะอยู่หรือไป เพื่อวางกลยุทธ์ในการเจรจากับสหรัฐฯ
จีนรู้ว่าทรัมป์กำลังหาเสียงเพื่อกลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สอง
และทรัมป์รู้ว่าสี จิ้นผิงต้องการต่อรองรายละเอียดทุกเม็ด เพื่อไม่ให้ปักกิ่งต้องเสียโอกาสในการทำมาหากินในสหรัฐฯ
เกมนี้จะยังยืดเยื้อต่อไป
รัฐบาลใหม่ของไทยเตรียมตั้งรับอย่างไร มีแผนและยุทธศาสตร์อย่างไร คนไทยกำลังต้องการคำตอบที่ชัดเจนครับ!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |