มีความชัดเจนทางการเมือง เมื่อ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา แจ้งอย่างไม่เป็นทางการระหว่างการประชุมสภาฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมาเองว่า ได้รับการประสานจากฝ่ายรัฐบาลว่า ครม.รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ประยุทธ์ 2/1 จะขอแถลงนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินต่อที่ประชุมรัฐสภา ในช่วงวันที่ 25 ก.ค. ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่า ฝ่ายวิปรัฐบาลจะประสานกับวิปวุฒิสภาว่า จะกันเวลาสำหรับการประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลไว้ 2 วันคือ 25-26 ก.ค. หากมี ส.ส.-ส.ว.ใช้สิทธิ์อภิปรายกันมาก
ซึ่งเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาแล้ว ก็ถือว่า ครม.ประยุทธ์เป็นรัฐบาลโดยสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นรัฐมนตรีแต่ละคนก็จะเข้าไปนั่งทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลและแต่ละกระทรวงอย่างเป็นทางการต่อไป
ดังนั้นหากเป็นไปตามนี้ ก็ถึงวาระที่พลเอกประยุทธ์จะต้องเดินเข้าประชุมรัฐสภาเสียที จะได้พบปะ เจอหน้าค่าตา ฟังเสียงการอภิปรายของ ส.ส.ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้านและ ส.ว.ที่จะลุกขึ้นทั้งอภิปรายวิจารณ์ตัวพลเอกประยุทธ์และ ครม. รวมถึงการอภิปรายยกย่องเชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูพลเอกประยุทธ์กันแบบต่อหน้าต่อตา หลังจากที่ผ่านมา นับแต่หลังเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ยังไม่เคยเข้าร่วมประชุมสภาฯ-รัฐสภาเลยแม้แต่นัดเดียว แม้จะมีการประชุมนัดสำคัญๆ เช่น การลงมติเลือกนายกฯ ของที่ประชุมรัฐสภา หรือการไปชี้แจงญัตติ-กระทู้ถามต่างๆ ของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่พลเอกประยุทธ์ไม่จำเป็นต้องไปร่วมประชุมก็ได้ เพราะตัวพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เป็น ส.ส.และรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ว่า คนที่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ต้องไปปรากฏตัวแสดงวิสัยทัศน์
ด้วยเหตุนี้ ช่วง 25-26 ก.ค. ที่รัฐบาลจะแถลงนโยบายต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ก็จะเป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญ ที่พลเอกประยุทธ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล-นายกฯ จะต้องไปปรากฏตัวกลางห้องประชุมรัฐสภา เพื่อเปิดหัว แถลงนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นไฟต์บังคับ ที่พลเอกประยุทธ์จะต้องนำทัพ ครม.มาเอง หลีกเลี่ยงไม่ได้
ช่วงพลเอกประยุทธ์นำทัพ ครม.แถลงนโยบายรัฐบาลนี่แหละ จึงเป็น แมตช์การเมือง นัดสำคัญ และคาดว่าบรรยากาศการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้าน จะสนุกเข้มข้น ดุเดือด แบบจัดหนัก จัดเต็ม ใส่กันรัวๆ ไม่มียั้งแน่นอน
ที่หลายคนอยากรู้ บางรายก็ถึงขั้นปรามาสว่าคนอย่างพลเอกประยุทธ์จะทนได้สักกี่น้ำ จะตบะแตก นอตหลุด หน้าแดงก่ำ กลางห้องประชุมสภาฯ หรือไม่ หากต้องถูกนักการเมืองฝ่ายค้าน ที่ต้องรบทางการเมืองกับพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลอย่างหนักหน่วง มาอภิปรายวิจารณ์-ซัด-ตำหนิ-เสียดสี-เยาะเย้ยถากถาง พลเอกประยุทธ์ กลางห้องประชุมสภาฯ หลายชั่วโมง ถ้าพลเอกประยุทธ์เจอสถานการณ์ของจริงทางการเมืองแบบนั้น พลเอกประยุทธ์จะทนได้หรือไม่?
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนอยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในห้องประชุมสภาฯ เพราะที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์คืออดีตผู้นำรัฐประหาร หัวหน้า คสช. ที่คุ้นชินกับระบบ อำนาจนิยม มาตลอดชีวิต สมัยเป็นนายกฯ รอบแรกควบหัวหน้า คสช. เป็น 5 ปี ที่บิ๊กตู่มีอำนาจเต็ม โดยไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็งทางการเมืองมากวนใจ อภิปรายพาดพิงเสียดสีให้รำคาญรูหู แม้ 5 ปีก่อนหน้านี้จะมีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ก็เป็น สภาฝักถั่ว ไม่เคยอภิปรายตรวจสอบใดๆ ตัวพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล มีแต่อภิปรายยกก้น ชื่นชม รัฐบาลค สช. แต่มาวันนี้กับการเป็นหัวหน้ารัฐบาล ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรค ลำพังแค่บริหารดุลอำนาจในพรรคร่วมรัฐบาลก็ปวดหัวแล้ว มาวันนี้ต้องคอยรับมือกับการฟาดฟันของฝ่ายค้านในสภาฯ อีก จึงเป็นเรื่องที่นักวิเคราะห์การเมืองส่วนใหญ่ถึงอยากรู้ว่า เมื่อถึงตอนนั้นพลเอกประยุทธ์จะรับมืออย่างไร
สิ่งที่หลายคนอยากเห็น อยากรู้ ก็จะได้เห็นกันในช่วง 25-26 ก.ค.นี้ ที่บิ๊กตู่จะนำทีม ครม.ประยุทธ์ย่างเท้าเข้าห้องประชุมใหญ่ตึกทีโอที แจ้งวัฒนะ ที่คาดหมายกันว่า ความมันส์ทางการเมืองจะสนุกกว่าตอนอภิปรายโหวตนายกฯ และตอนประชุมสภาฯ เพื่อรับทราบความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศแน่นอน เพราะ 2 แมตช์ดังกล่าวน่าจะเป็นแค่ น้ำจิ้ม-หนังตัวอย่าง ของฝ่ายค้านเท่านั้น
เว้นเสียแต่ฝ่ายค้าน โดยการนำของ เพื่อไทย-อนาคตใหม่ ทำกร่อยเสียเอง จัดทัพ-วางตัว ส.ส.อภิปรายกันไม่ดีพอ การอภิปรายข้อมูลไม่แน่น ไม่ทำการบ้านมาก่อน อภิปรายสะเปะสะปะ มีแต่น้ำ ไม่มีเนื้อ เน้นการอภิปรายเสียดสีมากเกินไป แทนที่จะอภิปรายด้วยเนื้อหาสาระ ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ แต่ไปเล่นบทฝ่ายแค้น ไม่ใช่ฝ่ายค้าน ยังพูดแต่เรื่องเดิมๆ แผ่นเสียงตกร่อง เช่น บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร-สืบทอดอำนาจ จนประชาชนฟังแล้วเบือนหน้าหนี เอาสำลีอุดรูหู ถ้าฝ่ายค้านทำได้แค่นี้ ก็บอกไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า ผลที่ออกมาก็คือ ชกไม่เข้าเป้า งานกร่อย แทนที่ฝ่ายค้านจะได้แต้ม สุดท้ายที่คนกะเก็งกันว่าจะเป็นศึกหนักรัฐบาล ผลอาจจะพลิกกลายเป็นพลเอกประยุทธ์ทำแต้ม เรียกเรตติ้งได้ดีกว่า
ต้องรอดูกันว่า สุดท้ายฝ่ายไหนจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ที่ทำได้ดีกว่ากันในเวที แถลงนโยบายรัฐบาล ที่จะเกิดขึ้นในช่วง 25 ก.ค.นี้ ที่งานนี้คาดว่าอาจจะมีนักการเมืองหน้าใหม่หลายคนหวังแจ้งเกิดเป็นดาวสภาฯ เพราะมีการตระเตรียมข้อมูลประเด็นการอภิปรายกันมาได้หลายวันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในทางการเมืองและในความเป็นจริงก็ต้องยอมรับกันว่า เรื่องนโยบายรัฐบาล จะกี่ยุคกี่สมัย ไม่ว่าพรรคไหน-ใครมาเป็นรัฐบาล ก็ต้องเขียนออกมาด้วยถ้อยคำสวยหรู บอกว่าจะทำโน่น ทำนี่ ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ทำให้ประชาชนสุขสบาย จะสร้างไอ้โน่น จะทำไอ้นี่ สุดแล้วแต่จะหาเสียงกันไป คนอ่าน คนฟัง ก็ได้แค่หลับตาเคลิ้ม แต่ส่วนใหญ่ก็รู้กัน มันก็แค่ถ้อยคำสวยหรู สร้างภาพกันไปตามสภาพ ของนักการเมือง พรรคการเมือง จะไปคาดหวังอะไรมากก็ไม่ได้ เอาแค่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา เพราะพอเสร็จสิ้นพิธีกรรมดังกล่าว รัฐบาล-นักเลือกตั้งทั้งหลายก็ตบเท้าเข้าทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงต่างๆ ลืมๆ กันไป ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกันอยู่แล้ว เป็นแบบนี้มาทุกยุคทุกสมัย
แม้แต่ยุคพลเอกประยุทธ์เองก็เถอะ เอาแค่วันทำรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ก็ประกาศ สัญญาประชาคมหลายเรื่อง รวมถึงตอนเป็นนายกฯ ก็บอกจะทำอะไรต่างๆ จะแก้ปัญหาของประเทศ จะสร้างความปรองดอง จะปฏิรูปประเทศ แต่สุดท้ายสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ประกาศไว้ว่าจะทำ ทั้งที่เป็นรัฐบาลรัฐประหารมีอำนาจเต็มทุกอย่าง แต่ก็ทำไม่ได้ ลำพังแค่ปัญหาเร่งด่วน ปัญหาที่กระทบกับประชาชน เช่น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังถูกมองว่าล้มเหลว
ดังนั้นประชาชนก็ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรมากมายกับถ้อยคำสวยหรู-หาเสียง ในพิมพ์เขียวนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงออกมา เว้นแต่นโยบายสำคัญๆ บางเรื่อง ที่พรรคหลัก อย่างพลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย เคยหาเสียงไว้ แล้วประชาชนเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดีจริงๆ เป็นนโยบายที่รัฐบาลหากผลักดันให้มีการทำเกิดขึ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมดีขึ้น และจะไม่ยอมให้นักการเมืองมากลืนน้ำลาย พูดไว้ตอนหาเสียง แต่ถึงเวลาจริงๆ ทำไม่ได้ ไม่ยอมทำ แล้วแถไปเรื่อยๆ กลืนน้ำลาย ออกมาอ้างว่า ที่เคยหาเสียงไว้ ที่เขียนไว้ในนโยบายรัฐบาล สุดท้ายทำไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย งบประมาณ ถ้าเป็นลักษณะเช่นนี้ ประชาชนก็ต้องทวงถาม และสั่งสอนนักการเมืองให้รู้สำนึก ว่าอย่าหลอกประชาชนไปวันๆ เพียงเพื่อหวังผลเลือกตั้ง
สำหรับความคืบหน้าการจัดเตรียมพิมพ์เขียวร่างนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา งานนี้พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ต้องรับบทหัวเรือใหญ่ในการประมวลนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐใช้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง รวมถึงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ที่ก็จะเน้นหนักไปที่ 2 พรรค ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย เพื่อนำมา ขยำรวม-กลั่นออกมาเป็นพิมพ์เขียวนโยบายรัฐบาล
ล่าสุด หลังจากมีการปิดห้องคุยกันทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ มาได้ร่วม 2-3 นัด จนถึงขณะนี้พบว่า Main หลักของพิมพ์เขียวนโยบายรัฐบาลคืบหน้าไปได้เยอะแล้ว และน่าจะเสร็จหมดอย่างเป็นทางการภายในสัปดาห์หน้านี้ เห็นได้จากผลการประชุมคณะทำงานประสานงานและจัดทำนโยบายของรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา
สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะทำงานประสานงานและจัดทำนโยบายของรัฐบาล แถลงไว้ว่า ภาพรวมเนื้อหาทางพรรคร่วมรัฐบาลเห็นตรงกันทั้งหมดแล้ว และเตรียมปรับรายละเอียดอีกเล็กน้อย
"หัวใจของการทำนโยบายคือ ต้องขับเคลื่อนงานเพื่อประโยชน์ประชาชน นโยบายรัฐบาลและมาตรการที่จะเกิดขึ้นหลังการแถลงรายละเอียดจะเป็นไปตามกรอบงบประมาณ ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าในบางนโยบายที่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมาก อาทิ การดูแลสวัสดิการแม่และเด็ก ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาทนั้น รัฐบาลมีนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนได้แน่นอน"
เมื่อฝ่ายรัฐบาลก็พร้อมสำหรับการแถลงและชี้แจงนโยบายรัฐบาล ส่วนฝ่ายค้านก็เตรียมอภิปรายกันเต็มที่ โดยหากแต่ละฝ่ายต่างทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้เวทีดังกล่าวฟาดฟันกันทางการเมืองจนเกินขอบเขต ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งแมตช์การเมืองที่น่าติดตามแน่นอน.
เว้นเสียแต่ฝ่ายค้าน โดยการนำของ เพื่อไทย-อนาคตใหม่ ทำกร่อยเสียเอง จัดทัพ-วางตัว ส.ส.อภิปรายกันไม่ดีพอ การอภิปรายข้อมูลไม่แน่น ไม่ทำการบ้านมาก่อน อภิปรายสะเปะสะปะ เน้นการอภิปรายเสียดสีมากเกินไป ไปเล่นบทฝ่ายแค้น ไม่ใช่ฝ่ายค้าน พูดแต่เรื่องเดิมๆ แผ่นเสียงตกร่อง เช่น บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร-สืบทอดอำนาจ จนประชาชนฟังแล้วเบือนหน้าหนี เอาสำลีอุดรูหู ถ้าฝ่ายค้านทำได้แค่นี้ บอกไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า ผลที่ออกมาก็คือชกไม่เข้าเป้า งานกร่อย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |