“ธรรมนัส” เปิดใจนักเลงที่อัดอั้นมากว่า 30 ปี แจงยิบข่าวพันค้ายาเสพติดที่ออสเตรเลีย บอกโชคร้ายอยู่ที่เดียวกับคนที่ถูกจับ ลั่นถูกจับขัง 8 เดือนจริง แต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนถูกส่งกลับไทย ชี้เป็นข่าวโอละพ่อฝีมือเพจอวตารของฝ่ายตรงข้าม เพราะรู้เป็นเส้นเลือดใหญ่ของรัฐบาลจึงจ้องทำลาย ขู่รู้ตัวแล้วเตรียมดำเนินการทางกฎหมาย 19 พรรคสุมหัวร่างนโยบาย คาด 12 ก.ค.เสร็จก่อนส่งถึงมือ “ลุงตู่” เคาะขั้นสุดท้าย “พุทธิพงษ์” คาดแถลง 24-25 ก.ค. ไม่เกินคาดฝ่ายค้านรุมสับ ครม.อัปลักษณ์-ไม่เข้าท่า
เมื่อวันพฤหัสบดี ยังคงมีความต่อเนื่องจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่ 62 โดยเฉพาะกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ข้อกฎหมายเป็นเรื่องหนึ่ง ความเหมาะสมความควรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกรณีพรรคฝ่ายค้านเตรียมยื่นเรื่องตรวจสอบจริยธรรม ถือเป็นสิทธิของเขา แต่หากไล่ดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 เรื่องลักษณะต้องห้ามการสมัคร ส.ส. มาตรา 101 เรื่องการสิ้นสุดสมาชิกภาพของ ส.ส. และมาตรา 160 คุณสมบัติของรัฐมนตรี ถือว่าไม่กระทบอะไร
“ความควร-ไม่ควรเป็นเรื่องที่เกิดได้กับทุกคน เช่นกรณีนายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง ซึ่งเป็นเรื่องของนายกฯ ชั้นเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจสอบตรงนั้นได้ แต่ถ้ามีปัญหาจะทำเป็นข้อสังเกตเป็นสองช่องคือช่องตามกฎหมาย และกรณีที่เป็นปัญหาในสังคม เช่น มีคดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. แต่ยังไม่ถูกชี้มูลไม่ถือว่าขาดคุณสมบัติ แต่ให้รู้ว่ามีคดีค้างอยู่ รัฐมนตรีคนไหนมีคดีค้างไว้เขาทำส่งไปหมดเลยเพื่อให้รู้ไว้ หากชี้มูลจะได้รู้ล่วงหน้า นายกฯ ทราบดีว่ารัฐมนตรีทั้ง 35 คนมีคุณสมบัติอย่างไร” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามว่า หากเกิดอะไรขึ้นนายกฯ ต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่รู้ว่าต้องรับผิดชอบหรือไม่ แต่ได้รับทราบแล้ว
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ทุกคนมีหน้าที่บริหารด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งนายกฯ ต้องกำกับดูแลให้เป็นไปตามนั้น ส่วนเรื่องคุณสมบัติก็ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการทำหน้าที่จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากทุกคนตั้งใจทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ประชาชน ก็เป็นที่ยอมรับได้
ส่วนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า อยากให้ทุกคนให้โอกาสทำงาน เพราะทุกคนนั้นมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป ส่วนที่ฝ่ายค้านจ้องตรวจสอบ ร.อ.ธรรมนัส รวมถึงนายอุตตม เรายอมรับการตรวจสอบ เพราะเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ถือเป็นสิ่งสวยงามในระบอบประชาธิปไตย จึงไม่กังวลในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย
"สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส ผมว่าควรดูที่การทำงาน ซึ่งเราควรให้โอกาส ยืนยันว่าทุกคนได้ผ่านกระบวนการ ตรวจสอบตามระบบมาแล้ว เรามาจากการเลือกตั้งอยู่ในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน จึงต้องเคารพซึ่งกันและกัน” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ในเวลา 17.00 น. ที่หอประชุมใหญ่ทีโอที ร.อ.ธรรมนัสได้แถลงถึงกรณีประเทศออสเตรเลียจับกุมในข้อหาค้ายาเสพติดว่า เป็นเรื่องโอละพ่อ ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่นำเฮโรอีนเข้าออสเตรเลีย ไม่ได้เป็นผู้ผลิตและไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายแต่อย่างใด โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เริ่มจากที่เดินทางไปเที่ยวนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย โดยได้รับคำเชิญจากพี่คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ใน ป.ป.ส.ของสหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงเดินทางเข้าออสเตรเลียโดยผ่านการตรวจค้นอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน ไม่เป็นไปอย่างที่สื่อมวลชนได้รับทราบข้อมูลจากสื่ออวตารที่พยายามโจมตีอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องโอละพ่อ
“ผมมีความโชคร้าย เพราะคนที่ถูกจับนั้นกลับอยู่ที่เดียวกับที่ผมอยู่ด้วย ผมจึงโดนข้อหารู้ว่ามียาเสพติดแต่ไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบ ไม่ได้โดนข้อหาผลิตและนำเข้ายาเสพติด ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาตลอด และถูกคุมขังประมาณ 8 เดือนจนถูกปล่อยออกมาใช้ชีวิตตามปกติในนครซิดนีย์ 4 ปีเต็มๆ ก่อนถูกส่งตัวกลับมาไทย เพราะนายกเทศมนตรีนครซิดนีย์ไม่ต้องการให้คนเอเชียที่ตั้งตัวเป็นกลุ่มก้อน ไม่มีที่พักพิงเป็นหลักแหล่งอยู่ ผมจึงถูกส่งตัวกลับมา แต่ไม่ได้มารับโทษในไทย" ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
ย้ำเรื่องโอละพ่อ!
ร.อ.ธรรมนัสย้ำว่า สามารถตรวจสอบหลักฐานต่างๆ จากศาลของออสเตรเลียได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องโอละพ่อ และถือเป็นตราบาปที่ไม่เคยพูดมาตลอด 30 ปี เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณปี 2535 หรือ 2536 แต่สื่ออวตารกลับโจมตีว่าต้องกลับมารับโทษในไทย ซึ่งตอนนี้รู้หมดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังความพยายามที่จะล้มตนเองให้ได้ เพราะสื่อมวลชนเองก็ทราบดีว่าตนเองเป็นกำลังหลักในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีบทบาทในการขับเคลื่อนและประสานงาน ซึ่งหากล้มตนเองได้ รัฐบาลก็สั่นคลอน เพราะหลายเรื่องที่ได้ประสานงานไว้นั้นเป็นความลับที่รู้เพียงคนเดียว
"เขารู้ว่าผมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่จะเอาเลือดไปหล่อเลี้ยงในหัวใจของรัฐบาล จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อล้มผม ผมรู้หมดแล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง และเรื่องนี้ต้องปล่อยให้กฎหมายบ้านเมืองจัดการต่อไป คนที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่คนในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว และระบุถึงกรณีเคยถูกถอดยศมาก่อน ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัสได้โชว์หนังสือการเลื่อนยศ โดยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2541 กระทรวงกลาโหมได้เลื่อนยศให้ขึ้นเป็น ร.อ. ไม่ใช่ใช้ยศ ร.อ.นำหน้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ร.อ.ธรรมนัสย้ำว่า เรื่องคดีความต่างๆ ในต่างประเทศได้ชี้แจงไปแล้ว สำหรับในประเทศไม่มีประวัติอาชญากรรมใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะถูกกล่าวหาพาดพิง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีเพื่อนใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก เพราะเป็นคนใจกว้าง เพื่อนฝูงเยอะ บางครั้งการคบคนโน้นคนนี้ไม่ได้กรอง ดังนั้นเมื่อเขานำภัยมาหาเรา ก็ไม่โทษคนโน้นคนนี้ เพราะไม่ใช่วิถีตนเองที่ต้องแก้ปัญหาให้จบด้วยตัวเอง ด้วยกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยมีคดีค้างในชั้นศาล เพราะใช้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเองมาทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ และไม่เคยละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ และชีวิตของผ่านพระราชบัญญัติล้างมลทินมาหลายฉบับแล้ว
“ผมเคยสมัคร ส.ส.รายชื่อกับพรรคการเมืองหนึ่ง หากไม่มีการรัฐประหารครั้งที่แล้วก็คงได้เป็น ส.ส.ทำไมถึงไม่มีปัญหา และไม่ถูกโจมตีอะไรเลย แต่ทำไมถึงมีปัญหาในครั้งนี้” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
เมื่อถามว่า เปิดเผยได้หรือไม่ว่าใครจ้องทำลาย ร.อ.ธรรมนัสชี้ว่า รู้ตัวหมดแล้ว แต่ขอปิดเป็นความลับ เพราะกำลังดำเนินคดีอยู่ และยืนยันว่าเป็นกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม เป้าหมายเพื่อล้มล้างรัฐบาล อยากฝากสื่อมวลชนไปศึกษาเรื่อง พ.ร.บ.ล้างมลทินปี 2550 จะตอบโจทย์เรื่องตนเองทั้งหมด โดยเฉพาะมาตรา 4 ให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่างๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือก่อนวันที่ 5 ธ.ค.2550 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้ ให้ถือว่าผู้นั้นมิถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆ ซึ่งถือว่าชัดเจนและไม่มีความผิด โดยที่เฉพาะข้อกล่าวหาที่ว่าถูกปลดออกจากราชการข้อหาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีที่ออสเตรเลีย
เมื่อถามว่า หากในอนาคตมีการยื่นตรวจสอบคุณสมบัติจะหนักใจหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า การตรวจสอบคุณสมบัติมีมาแล้วหลายขั้นตอน ตั้งแต่ลงสมัคร ส.ส. โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเรื่องของตนเองไม่ใช่กรณีศึกษาเรื่องแรก ซึ่งไม่กังวลอะไร แต่จะเป็นเพียงวาทกรรมที่มีการพูดกันของสื่อมวลชน โดยเฉพาะเพจอวตาร
“หนักแน่นพอกับเรื่องพวกนี้ ชั่วหรือไม่ชั่ว จริยธรรมคือสิ่งที่อยู่ในใจเรา เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ และก็ไม่กังวลว่าใครจะมาตรวจสอบคุณสมบัติ ผมไม่ได้ห้าม และไม่กังวลว่าใครจะมาตรวจสอบคุณสมบัติ แต่ถ้าใครจะมาตรวจสอบผม และสุดท้ายผมไม่มีความผิด คุณก็ต้องพร้อมที่จะถูกดำเนินคดี ซึ่งผมฟ้องกลับแน่นอน และจะเดินหน้าทำงานในฐานะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับนายกฯ ให้ทราบ” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีคนปรามาสว่า กระทรวงเกษตรฯ ยุคนี้จะเป็นกระทรวงมาเฟีย ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า คนเรานั้น อยากถามว่าสามารถทำอดีตให้เป็นปัจจุบันได้หรือไม่ แต่สิ่งที่จะพิสูจน์คือในอนาคตตนเองจะทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง ไม่ใช่เอะอะก็กล่าวหากันว่ามาเฟีย นักเลง คนใจนักเลงอย่างตนเอง ลองให้ได้ทำงานดูก่อน หากทำไม่ได้เรื่องแล้วจะพิจารณาตัวเอง ที่ผ่านมาพูดมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะหลังจากประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ก็ทำงานเพื่อสังคมมาตลอด แต่เมื่อนายให้มาเป็นรัฐมนตรีก็ต้องทำให้ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจว่ามีคุณสมบัติเหมาะเป็นรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า เป็นลูกชาวนา อยู่กับดินมา การเกษตรคือสิ่งที่อยู่กับดิน ดังนั้นจึงเข้าใจพื้นฐานของประชาชนในการเป็นเกษตรกร รู้ว่าปัญหาคืออะไร และอะไรคือเกษตรกรต้องการ คิดว่าตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
24-25 ก.ค.แถลงนโยบาย
สำหรับความคืบหน้าในการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณและแถลงนโยบายนั้น นายวิษณุกล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะไม่รู้ว่าจะถวายสัตย์ฯ วันใด เวลาใด เข้าใจว่ามีการทำหนังสือขอพระราชทานวันเข้าเฝ้าฯ ไปแล้ว ส่วนการประชุม ครม.ครั้งแรกจะยังไม่มีการแบ่งงาน เพราะการแบ่งงานจะเกิดขึ้นหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ขณะที่นายพุทธิพงษ์กล่าวในเรื่องนี้ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งให้ ครม.ใหม่เตรียมความพร้อม เพื่อรอกำหนดวันอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าจะเป็นภายในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะเรียกประชุม ครม.ครั้งแรก ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาคาดว่าจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 ก.ค.นี้
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าวว่า เข้าใจว่าขณะนี้รัฐบาลคงเตรียมนโยบายไว้แล้ว การแถลงผลงานจึงน่าจะใช้ระยะเวลาไม่ถึงกรอบ 15 วัน คาดว่ารัฐบาลจะแถลงผลงานในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ โดยใช้สถานที่หอประชุมใหญ่ทีโอทีในการแถลงนโยบายของรัฐบาล
ทั้งนี้ ในช่วงเช้า ที่โรงแรมสุโกศล ทีมงานร่างนโยบายรัฐบาลพรรค พปชร. ได้นัดหารือแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของนโยบายแต่ละด้าน และต่อมาในช่วงเย็นได้ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล 19 พรรค ถึงการจัดทำนโยบายรัฐบาล โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เลขาธิการพรรค พปชร. เป็นประธาน และตัวแทนพรรคต่างๆ เข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า พรรค พปชร.ได้ทำงานพิจารณานโยบายของพรรคต่างๆ มาระยะหนึ่งแล้ว โดยนโยบายของทุกพรรคได้ขึ้นโครงร่างไว้แล้ว และจะพิจารณาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนที่มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมก็จะหารือร่วมกันต่อไป โดยจะเร่งรัดเพื่อสรุปให้เห็นพ้องต้องกัน ก่อนนำนโยบายเหล่านี้เสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์พิจารณาว่าจะมีความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อที่นำไปใช้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาต่อไป
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค พปชร.กล่าวว่า ในวันที่ 12 ก.ค. จะมีการประชุมอีกครั้ง หากไม่มีฝ่ายใดติดใจ ก็จะส่งร่างดังกล่าวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ทันที ซึ่งร่างนโยบายแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะ1 ปี ซึ่งเป็นระยะเร่งด่วน และนโยบายต่อเนื่อง เช่น ปัญหาปากท้องของประชาชน รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ รายได้อย่างไร ปัญหาเกษตรกร ปัญหาการท่องเที่ยว สวัสดิการ อนาคตจะดีได้อย่างไร และปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฝุ่น PM 2.5 ส่วนที่เหลือจะเป็นการดำเนินการในระยะเวลา 4 ปี ส่วนนโยบายแก้รัฐธรรมนูญภายใน 1 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นั้น เราจะพูดคุยกันอีกครั้ง
เมื่อถามว่า นายกฯ จะนำนโยบายของฝ่ายค้านมาบรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาลด้วย นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า นายกฯ ใจกว้างมาก ท่านจะนำนโยบายของฝ่ายค้านที่ประชาชนสนใจมาบรรจุ เพราะเราจะยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นหลัก
รายงานข่าวจากที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลแจ้งว่า ในการหารือเรื่องนโยบายรัฐบาลในช่วงแรกของการประชุม พรรค พปชร.ได้เสนอร่างนโยบายรัฐบาลในเบื้องต้นที่สภาพัฒน์จัดทำตามที่นโยบายของทั้ง 19 พรรคร่วมเสนอมีทั้งหมด 37 หน้า และได้ส่งกลับให้แต่พรรคนำกลับไปพิจารณาว่ามีประเด็นอะไรที่ต้องการเน้นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และนำข้อเสนอกลับมาแจ้งอีกครั้งในวันที่ 12 ก.ค. ซึ่งโดยภาพรวมไม่ได้ถกเถียงอะไรกันมาก มีเพียงช่วงแรกที่แกนนำพรรคเล็กสอบถามว่าทำไมดูแล้วส่วนใหญ่เป็นนโยบายของพรรค พปชร.เกือบทั้งหมด แต่เมื่อดูเนื้อหาทั้งหมดแล้วจึงเห็นว่ามีนโยบายของพรรคร่วมทุกพรรค ซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นกันว่าถ้อยคำที่ใช้ในร่างนโยบายค่อนข้างราบเรียบ เป็นภาษาราชการ ดังนั้นคงต้องปรับถ้อยคำอีกครั้ง
รัฐมนตรีคึกพร้อมทำงาน
วันเดียวกัน บรรดารัฐมนตรีใหม่ต่างกระตือรือร้นในการทำงานอย่างยิ่ง โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวว่า สามารถสานงานต่อได้เลย เพราะนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน คือพยายามที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็ง มีความสามารถสูงในอนาคต และพยายามช่วยฐานรากให้มากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ในนโยบายของทุกพรรค จะต่างกันแค่รายละเอียด
“คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะนายกฯ ก็คนเดิม ดังนั้นความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นมาในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ก็ควรจะแน่นอนได้แล้ว อย่าไปกังวลมากนัก”
ถามอีกว่า รัฐบาลใหม่จะมีอะไรทางด้านเศรษฐกิจที่เซอร์ไพรส์ประชาชนหรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า คงไม่ใช่เซอร์ไพรส์ แต่เป็นความพยายามสร้างความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนให้เดินหน้าต่อ ไม่อยากให้เสียโอกาส อย่าลืมว่าเราเป็นประธานอาเซียน ที่จริงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้โชว์ตัวเอง แต่ข่าวอาเซียนกลับถูกกลบด้วยข่าวการเมืองซะเกลี้ยงเลย ก็น่าเสียดาย เพราะเมื่อเราเป็นประธานอาเซียนแล้วก็เชื่อว่าเราค่อนข้างโดดเด่นในภูมิภาคนี้ แต่คู่แข่งก็มีเยอะ ถ้าเราอยู่เฉยๆ นักลงทุนก็ไปที่อื่นหมด ก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นอย่ากังวล
เมื่อถามว่า การที่กระทรวงเกษตรฯ มีรัฐมนตรีถึง 4 คน แสดงว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและต้องการอัดช่วยฐานรากอย่างเต็มที่เลยใช่หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า อย่าลืมว่ากระทรวงเกษตรฯ เป็นกระทรวงใหญ่ รับผิดชอบคนที่เป็นเกษตรกรเกือบทั้งประเทศ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า งานสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ คือการแก้ไขเรื่องปัญหาปากท้องของประชาชน ขณะที่ประชาชนเองก็คาดหวังกับรัฐบาลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะติดตามผลการทำงานทุก 3 เดือน ซึ่งหลัง 3 เดือนทุกอย่างต้องดีขึ้น
“ผมเชื่อมั่นว่าการทำงานของภาคการเมืองกับข้าราชการประจำในส่วนที่ผมรับผิดชอบนั้น จะมีความร่วมมือเพื่อช่วยกันทำงานให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นบวกแน่นอน” นายอนุทินกล่าว
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงค์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ได้เตรียมนโยบายและบุคลากรที่เป็นทีมงานไว้แล้ว
ด้านนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ขอขอบพระคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทูลเกล้าฯ ถวายเสนอชื่อให้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ จะทำหน้าที่ที่นายกฯ ให้ความไว้วางใจ อย่างสุดความสามารถ ใช้ประสบการณ์ที่มีเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของกระทรวงศึกษาฯ ให้ก้าวหน้าและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของระบบการศึกษา และการเรียนรู้ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
“ผมทำคนเดียวไม่ได้ หากขาดความร่วมมือร่วมใจ ไม่ว่าจะจากเจ้าหน้าที่กระทรวงทุกท่าน คุณครูทุกคน เด็ก นักเรียน รวมถึงผู้ปกครอง และทุกภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาของบ้านเรา ผมอยากขอเชิญให้ทุกคนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาร่วมกัน มาร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ยังคงมีอยู่ในระบบการศึกษา” นายณัฏฐพลกล่าว
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เมื่อนายกฯ ไว้วางใจ ก็จะทำงานอย่างเต็มที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งยังไม่ได้รับมอบหมายว่าต้องดูแลอะไรบ้างในสำนักนายกฯ
ส่วนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอี กล่าวว่า พร้อมผลักดันงานของกระทรวงเพื่อให้ประเทศไทยมีเทคโนโลยีที่ก้าวไกล รวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับสร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้ก้าวทันเทคโนโลยี เช่น การผลักดัน พ.ร.บ.ไซเบอร์ เป็นต้น
“แม้ส่วนตัวมีคดีความในข้อหากบฏจากการชุมนุมของ กปปส.อยู่ แต่เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติหน้าที่ เพราะได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติมาหมดแล้ว และคดีดังกล่าวก็ยังอยู่ในขั้นตอนของศาลชั้นต้น ผมว่าควรให้โอกาสทุกคนได้ทำงาน เพราะทุกคนได้ผ่านการตรวจสอบมาหมดแล้ว" นายพุทธิพงษ์ระบุ
นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม กล่าวว่า ได้เชิญหอการค้าภาคเอกชนทั้งหมดใน จ.สงขลา มาหารือร่วมกับนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย และคณะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ใน จ.สงขลา ที่โรงแรมบุรีศรีภู บูติก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในวันที่ 12 ก.ค.นี้ เวลา 10.00-12.00 น. โดยจะเปิดใจรับฟังแนวทางการพัฒนาและข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน
รุมตำหนิโฉมหน้า ครม.
ด้านความเห็นของซีกฝ่ายค้านนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งลงพื้นที่ประตูน้ำเพื่อพบปะและให้กำลังใจผู้ค้า ผู้ประกอบการย่านดังกล่าว กล่าวถึงหน้าตา ครม.ว่า คนที่สำคัญที่สุดคือนายกฯ รองลงมาคือรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิม ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ยังไม่นับรวมคนที่มีตำหนิ แต่คาดหวังว่ารัฐบาลจะเรียนรู้ปัญหาจาก 5 ปีที่ผ่านมา และแก้ให้ถูกทางเสียที
“อยากฝากไปถึงนายกฯ ให้ตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า เหตุใดจึงแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ไม่เป็นที่ยอมรับมาทำงานในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งไม่ขอวิจารณ์ตัวบุคคล เราจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์และเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาให้รัฐบาลผ่านระบบสภา” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว และว่า ในระบอบประชาธิปไตยฝ่ายค้านและรัฐบาลต้องทำงานร่วมกัน เราไม่ได้ติเพื่อล้มรัฐบาล แต่นำเสนอแนวทางเพื่อให้นำไปใช้แก้ไขปัญหา หากนโยบายของเราดีก็สามารถลอกนโยบายเราไปใช้ได้ แต่ขอให้ทำอย่างเข้าใจ และขอให้ดูเรื่องของการขึ้นค่าแรงตามที่ประกาศเป็นนโยบายไว้ด้วย ไม่ใช่ขึ้นแค่ค่าขยะกับค่ารถเมล์
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมือง พรรค พท. กล่าวว่า ครม.ที่ออกมาเป็น ครม.ต่อรอง หรือ ครม.ต่างตอบแทน ซึ่งปัญหาใหญ่ที่รอรัฐบาลใหม่เข้ามาแก้อย่างเร่งด่วน 4 เรื่อง คือ 1.ความยากจน 2.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 3.ความเหลื่อมล้ำ และ 4.การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ซึ่งพรรคจะมีคณะกรรมการติดตามการร่างนโยบายรัฐบาล เพื่อจับตาว่ามีการบิดพลิ้ว ไม่ซื่อสัตย์ต่อทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนให้มาหรือไม่
ส่วนนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวว่า มีข้อสังเกต 3 ข้อ คือ 1. เป็นการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน 2.ย้อนยุคไป 41 ปีเหมือนยุคของรัฐธรรมนูญ 2521 ที่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ซึ่งต้องดูว่า พล.อ.ประยุทธ์จะไหวหรือไม่ และ 3.เหมือนไม่ใช่รัฐบาลทหาร เพราะมาจากการเลือกตั้ง แต่ภาพรวมก็ยังเป็นองค์ประกอบโดยมีทหารเป็นหลัก มีกองทัพสนับสนุน สิ่งที่อยากเรียกร้องเมื่อมีรัฐบาลแล้วคือ อยากให้ ครม.ชุดใหม่รีบแถลงนโยบายโดยเร็ว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) กล่าวว่า ก่อนตั้งก็มีข่าวทะเลาะเบาะแว้ง แย่งชิงตำแหน่ง บางคนมีคดีต้องโทษต้องออกราชการ บางคนก็โกงแบงก์กรุงไทย บางคนไม่ได้เป็นสละตำแหน่งให้คนอื่นเป็นแทน ดังนั้นนายกฯ ควรเลือกคนที่มีความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริตที่จะมาทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
เมื่อถามว่า จะไปตรวจสอบถึงคนที่แต่งตั้งรัฐมนตรีหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า คนที่รับผิดชอบคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองให้ ร.อ.ธรรมนัส กกต.ไม่ควรอยู่เฉยๆ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน
"ผมว่า ครม.ชุดนี้ไม่เข้าท่า ซึ่งต้องตอบคำถามให้กับประชาชนให้ได้ นายวิษณุกำลังทำตัวเป็นผู้วิเศษ ปากเป็นกฎหมาย ที่พูดว่า ร.อ.ธรรมนัสไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ดังนั้นการที่นายวิษณุบอกว่ากฎหมายไม่ห้ามไม่ได้ นายวิษณุจะขึ้นศาลเอง" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ (พช.) กล่าวว่า ขอเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ควบคุมรัฐมนตรีของตัวเองให้ดี ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มิใช่เข้ามากอบโกยเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวก
นายฐิติพงษ์ หมื่นหาญ หรือจัมโบ้ ดอกจิก โฆษกพรรคพลังปวงชนไทย กล่าวว่า ครม.มีแต่โฉมหน้ารัฐมนตรีเดิมๆ ของรัฐบาลชุดรัฐประหารประยุทธ์ 1 เกือบทั้งนั้น ซึ่งถือว่าเป็นการสืบทอดอำนาจอย่างชัดเจน
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ครม.ประยุทธ์ 2 ค่อนข้างอัปลักษณ์ ทำให้ประชาชนผิดหวัง เอาคนไม่เหมาะสมกับงาน แบ่งเก้าอี้สัมปทานตามสูตรการเมืองแบบเก่าที่ไม่พัฒนา รวมทั้งยังมีรัฐมนตรีหน้าเดิมที่ไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้อง รวมทั้งยังถูกกล่าวหาเรื่องประพฤติมิชอบและคอร์รัปชันอีก ที่สำคัญยังมีรัฐมนตรีหน้าเก่าในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการหลอกคนไทยทั้งประเทศ
“ระบอบประยุทธ์ไม่ต่างจากระบอบทักษิณที่ถูกกล่าวหา เรื่องนี้สะท้อนว่าการเมืองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากไปกว่าเดิมและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น กลุ่มนักการเมืองหน้าเก่า หน้าเดิม ผสมโรงทหารการเมืองและรัฐข้าราชการ ทำงานพิทักษ์ผลประโยชน์เดิม เล่นละครความขัดแย้ง แบ่งแยกประชาชนเป็นสองฝ่าย” นายเมธาระบุ
นายเมธายังกล่าวอีกว่า รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไรเมื่อรายชื่อรัฐมนตรีบางคนเป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพล เคยต้องคดียาเสพติด มีแบล็กลิสต์ ซึ่งเรื่องนี้อาจซ้ำรอยนายณรงค์ วงศ์วรรณ อดีตหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมหรือไม่ ซึ่ง ครม.จะนำข้าราชการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. 2562 ได้อย่างไร เมื่อ ครม.ขาดคุณธรรมจริยธรรมเสียเอง.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |