รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ให้ความมั่นใจว่าจะทำงานแก้ปัญหาบ้านเมืองที่กำลังหนักหน่วงขึ้นได้หรือไม่
คำตอบของผมคือไม่ได้ครับ
เพราะท่านเหล่านี้ไม่ได้ถูกคัดเลือกเพราะคุณสมบัติเหมาะกับกระทรวงที่ได้รับมอบหมาย
เพราะหลายท่านมีประวัติสีเทาๆ ที่ไม่อาจจะทำให้ประชาชนมีความเลื่อมใสศรัทธา
เพราะปัญหาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่อย่างมากมายนั้นต้องการคนที่มีความสามารถเฉพาะทาง
เพราะประเทศกำลังเจอกับ “ความป่วน” หรือ disruption ที่รุนแรง จำเป็นต้องมีทั้งยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่ทันการณ์และมีประสิทธิภาพ แต่ผู้ที่มีรายชื่อในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ไม่ได้มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ที่ประเทศชาติต้องการแต่อย่างใด
วันเดียวกับที่เราเห็นรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่อย่างเป็นทางการ เราก็เห็นพาดหัวในหน้าหนังสือเดียวกันว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังมีปัญหาน่าเป็นห่วงหลายประการ
อัตราโตทางเศรษฐกิจของประเทศของปีนี้อาจจะร่วงไปที่ 2.9-3.3%
การส่งออกปีนี้อาจติดลบ
รายได้การท่องเที่ยวจะชะลอตัว
เงินบาทแข็งจะกระทบเศรษฐกิจ
และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ
แต่ถึงวันนี้เราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า 19 พรรคที่รวมกันเป็นรัฐบาลผสมชุดนี้มี “นโยบายร่วม” เพื่อแก้ปัญหาหนักหน่วงเหล่านี้อย่างไร
เรายังไม่รู้ว่าแต่ละพรรคที่หาเสียงเอาไว้กับประชาชนจะสามารถเอาส่วนไหนของนโยบายมาทำให้เป็นความจริงตามคำมั่นสัญญาได้หรือไม่
เรายังไม่รู้ว่ารัฐบาลใหม่นี้จัดลำดับความสำคัญของปัญหาบ้านเมืองอย่างไร
และมีแผนจะแก้ปัญหาอะไรก่อนหลังอย่างไร ใครจะทำ และจะทำอย่างไร อีกทั้งจะต้องบอกด้วยว่าจะทำให้เกิดขึ้นเป็นความจริงในกรอบเวลาใด
การจะวัดผลได้จะต้องมีเกณฑ์การประเมินหรือ KPI ที่ตอบได้ว่าเป้าที่วางไว้คืออะไร และแต่ละกระทรวงสามารถทำตามเป้าหมายนั้นอย่างไร
ทุกวันนี้เทคโนโลยีสามารถตรวจวัดความคืบหน้า (หรือถอยหลัง) ของโครงการต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพชนิด real time เพราะมีข้อมูล Big Data เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนสามารถ “ตรวจการบ้าน” ของนักการเมืองและข้าราชการได้ตลอดเวลา
หากรัฐมนตรีใดทำไม่ได้ตามเป้า ประชาชนก็จะรู้ทันที
อยู่ที่ว่านายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะจัดการกับรัฐมนตรีและข้าราชการที่ทำไม่ได้ตามเป้าเหล่านั้นหรือไม่
หากนายกฯ ไม่แสดงความสามารถในการบริหารบุคลากร ท่านเองก็จะถูกประเมินเช่นกัน
ทุกวันนี้ นักการเมืองไม่สามารถกลบเกลื่อนเรื่องจริงด้วยโวหารและวาทกรรมเอาตัวรอดไปวันๆ ได้อีกต่อไป
มีการพูดกันว่า ครม.ชุดก่อนเป็น “เรือแป๊ะ” แต่ชุดใหม่เป็น “เรือเหล็ก”
นั่นก็เป็นวาทกรรมการเมืองที่ไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุผลสนับสนุน เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยให้ฟังดูดีเพื่อกลบภาพของ “รัฐบาลปริ่มน้ำ” เท่านั้น
เพราะหากดูจากพื้นภูมิของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยแต่ละท่านในภาพรวมแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้น่าเชื่อได้ว่าเรือไม้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเรือเหล็กได้
ตรงกันข้าม เรือลำนี้จะมีอาการโคลงเคลงหนักขึ้น เพราะการแก่งแย่งงบประมาณและผลงานของแต่ละพรรคการเมืองที่มารวมตัวกันเป็นรัฐบาลผสม โดยที่ไม่มีความกลมกลืนด้านความคิดและนโยบายแต่อย่างไรเลย ที่แกนนำรัฐบาลคนหนึ่งบอกว่าการเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำนั้นจะเป็นผลดี ทำให้รัฐบาลอยู่ได้นาน เพราะทุกคนจะต้องตื่นตัว ต้องทำงานหนักขึ้น
นั่นก็เป็นวาทกรรมผิดเพี้ยนอีกประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วดูหมิ่นดูแคลนปัญญาประชาชนอย่างยิ่ง
คะแนนเสียงในสภาที่สนับสนุนรัฐบาลนั้นมีความผันผวนแปรปรวนสูง ดังนั้นทุกความเคลื่อนไหว ทุกครั้งที่ต้องมีการลงมติในสภาในร่างกฎหมายสำคัญๆ รวมถึงงบประมาณและมติไว้วางใจ ก็จะเกิดการต่อรองของนักการเมือง
การต่อรองหมายถึงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงผลประโยชน์ของพรรคการเมืองมากกว่าการมองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเป็นหลัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนเลยเราจึงจะเชื่อว่าการมีรัฐบาลปริ่มน้ำจึงเป็นเรื่องที่ดีสำหรับประเทศไทย
ยิ่งเมื่อมีศรีธนญชัยออกมาปกป้องรัฐมนตรีสีเทาบางคนว่าแม้จะมีหลายคนที่เคยถูกร้องเรียนเรื่องรับสินบน, เกี่ยวพันกับยาเสพติด, และคดีทุจริต แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาทางกฎหมายวันนี้แต่ประการใด เราก็พอจะเห็นความเสื่อมทรามแห่งมาตรฐานจริยธรรมของคนในระดับสูงของรัฐบาล
เราในฐานะประชาชนจะร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้ความเหลวแหลกของการเมืองแบบเก่าๆ ทำลายประเทศชาติได้อย่างไร ต้องว่ากันต่ออีกวันครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |