เหตุและผลโพสต์ภาพวันนั้น 'ช่อ พรรณิการ์' ยันระบอบการปกครองของไทย ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้


เพิ่มเพื่อน    

นางสาวพรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่(อนค.)ให้สัมภาษณ์พิเศษ หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 7 กรกฎาคม 2562 โดยช่วงหนึ่ง "ช่อ พรรณิการ์" พูดถึงการถูกวิพาษ์วิจารณ์โจมตีทัศนะต่อสถาบันฯว่า โอ้ว คลาสสิกมากเลยค่ะ อันนี้คลาสสิกแบบยิ่งกว่ามาม่ารสต้มยำกุ้งอีกนะ เอาง่ายๆ ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ นักการเมืองฝ่ายก้าวหน้าแทบทุกคนในประเทศไทย เคยโดนเรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น

“ช่อตกใจเรื่องหนึ่งนะ ช่อเคยไปคุยกับอดีตนายกฯ ที่ได้รับการยกย่องมากท่านหนึ่ง และยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังบอกเลยว่า คุณไม่ต้องไปคิดมากนะ เรื่องแบบนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่คุณโดน ผมยังเคยถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มาแล้วเลย

คือเรื่องแบบนี้ พอถึงจุดที่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาโจมตีเราให้ลงได้แล้ว ก็จะหยิบเรื่องนี้มา นี่คือสิ่งที่นักการเมืองไทยโดนมาตลอด จะไม่ใช่ช่อเป็นคนแรก และจะไม่ใช่คนสุดท้าย มันเป็นมุขคลาสสิก ก็เพราะว่ามันรุนแรง แก้ตัวได้ยากมาก จนถึงไม่ได้เลย”

...ยังดีที่ยุคนี้บ้านเมืองเปิดกว้าง และทำความเข้าใจกันด้วยเหตุผลมากกว่าสมัยก่อน นี่คือสิ่งที่เราเห็นจากปรากฏการณ์นี้ สุดท้ายแล้ว feedback ที่ช่อได้รับคือ คนจำนวนมากเข้าใจว่านี่คือการโจมตีทางการเมือง และเข้าใจไปถึงขั้นว่า คุณไม่รู้จะเอาอะไรมาโจมตี ก็เอาเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ เรื่องที่พูดปุ๊บ คนเกลียดทันที สังคมได้เรียนรู้จากมุกนี้ที่ซ้ำซากมาหลายสิบปีว่า พอเถอะกับการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้

เมื่อถามว่า ช่วงดังกล่าวตอนนั้นเครียดไหม ช่อ-พรรณิการ์ ตอบทันที ไม่เครียด มีเครียดนิดนึง ที่กระทบกับเพื่อน กับคุณพ่อ ซึ่งเวลาเราทำงานการเมือง เราเตรียมใจอยู่แล้วว่าเราจะโดนเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เราไม่ได้เตรียมใจไปถึงคนที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการตัดสินใจกับเรา คือเขาไม่ควรโดน เพราะเขาเป็นพ่อเรา ไม่ควรโดน เพราะเขาเป็นเพื่อนเราสมัยเรียน อันนี้ก็เสียใจ ค่อนข้างเสียใจเยอะเลย แต่ว่าถ้าโดยส่วนตัวของตัวเอง ไม่เครียด เพราะเรามองเป็นปรากฏการณ์ เรามองเห็นกระบวนการสร้างข่าว การโจมตีอย่างเป็นระบบ มีรับทอดกันเป็นช่วงๆ เราเห็นอยู่แล้วว่า มันเป็นการทำงานที่ตั้งใจทำกันขึ้นมา และเราเห็นแพทเทิร์น การทำลายนักการเมืองด้วยวิธีแบบนี้มาหลายครั้ง มันน่าเสียใจหน่อยตรงที่ว่า ยังไม่หยุดใช้กันเสียที แต่ว่าเป็นนักการเมืองในยุคนี้ก็ต้องทำใจ

ถามอีกว่าช่วงแรกเลยที่เห็นคนเริ่มแชร์ภาพดังกล่าวในอดีต ตอนนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ประหลาดใจหรือว่าอะไร

นางสาวพรรณิการ์ กล่าวว่า สิ่งแรกที่ขึ้นมาในหัวเลยนะคือ อ๋อ เล่นเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ เราไม่ได้คิด คือเราคิดว่าน่าจะเป็นมาตรการจากเบาไปหาหนัก เราไม่คิดว่าเราเข้าสภาฯ ไปแค่ไม่ถึงเดือน ก็เจอเรื่องนี้เลย ก็ยังคิดเลยว่า เออนี่เขาก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเล่นเราแล้วนะ คือเล่นเรื่องแบบนี้แทบจะทันทีที่เราเข้าสภาฯ ก็แปลกใจ ภูมิใจเล็กๆ นะ ว่าเออ เห็นความสำคัญของฉันขนาดนี้เลยหรือ ก็งง

ซักว่าที่ผ่านมาพรรคก็ถูกมองในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันมาตลอด พอมาเจอกรณีกับเรายิ่งทำให้พรรคต้องระวังหรือไม่

โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ตอบว่า ไม่ค่ะ เป็นโอกาสดีของพรรคด้วยซ้ำที่ได้พูดเรื่องนี้อีกครั้ง พอมีเรื่องช่อขึ้นมา เป็นโอกาส เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ พรรคจะไปพูดกับสาธารณชนว่าพรรคมีจุดยืนด้านสถาบันยังไง ถูกไหม ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ คนเราจะมาพูดกัน แต่พอมีประเด็นแบบนี้เกิดขึ้น ก็เลยเป็นโอกาสที่พรรคได้ย้ำอีกครั้ง ว่าจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่าไร ซึ่งเราเคยพูดกันมาแล้วหลายโอกาส ในช่วงเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีแกนนำพรรคหลายคนถูกโจมตีในเรื่องข้อหาแบบนี้ แต่ยิ่งมีการโจมตี ก็ยิ่งเป็นโอกาสให้เราได้ชี้แจงว่า พรรคทำงานในสภาฯ 

"เมื่อทำงานในสภาฯ หมายถึง เรายอมรับแล้วในเรื่องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั่นคือระบอบรัฐสภาของประเทศไทย มันไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เพราะฉะนั้น นี่ก็คือจุดยืนที่ชัดเจนที่สุดแล้ว และตอนคุณธนาธรแสดงวิสัยทัศน์ นายกฯ ก็ยังย้ำด้วยซ้ำว่า พรรคอยากเห็นประเทศไทยที่ระบอบประชาธิปไตยเคียงคู่ไปกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมั่นคงสถาพร" 

ผู้สื่อข่าวจากไทยโพสต์ ถามว่าจากที่ให้สัมภาษณ์เหมือนกับยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาของอายุ มาถึงตอนนี้ที่เราเป็นนักการเมืองก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เราเข้ามาเป็น ส.ส. มีความรู้สึกว่าเราอยากอยู่ตรงนี้ต่อ อยากทำให้มันดี เหมือนกับจะยอมรับว่าความคิดเราเปลี่ยน?

ช่อ พรรณิการ์ ตอบว่า คนเราตอนอายุ 21 ปี เรียนจบปริญญาตรี กับคนตอนอายุ 31 ปี จบปริญญาโท ทำงานข่าวมาแล้ว 6 ปีครึ่ง แล้วมาเป็น ส.ส. ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ก็คงประหลาดมนุษย์นะ

...คือเราเห็นโลกมากขึ้น เจอคนมากขึ้น เราเจอวิกฤติบ้านเมืองมาหลายครั้งมากขึ้น ความคิดอะไรต่างๆ ต่อการเมืองของเราย่อมเปลี่ยนไป แต่ถามว่าเปลี่ยนไปทั้งหมดไหม แน่นอนว่าไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมด ถ้าเปลี่ยนไปทั้งหมดอันนั้นเรียกว่า ไม่มีจุดยืน ไม่ใช่ ส่วนอะไรบ้างที่เปลี่ยน อะไรที่ไม่เปลี่ยน อะไรที่ยังไม่เปลี่ยนเลย น่าจะสำคัญกว่า คือตอนนั้น ภาพนั้น อย่างที่เคยอธิบายไป เป็นการพูดถึง ด้วยความตลกร้ายนะว่า คนเราถูกชี้หน้าง่ายมากว่าเป็นพวกไม่จงรักภักดี  

"ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ตลกมาก โดนโจมตีด้วยภาพนี้ว่าเป็นคนไม่จงรักภักดี ทั้งที่ในอดีตตอนนั้น สิ่งที่เราทำในภาพนั้นก็คือการล้อเลียนว่าถูกชี้หน้าว่าไม่จงรักภักดีได้ง่ายมาก อะไรแบบนี้"

ต่อข้อถามว่าที่เคยบอกควรหยุดการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายทางการเมือง?

เธอ อธิบายว่า อันนั้นยังเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยน จริงๆ สิ่งที่อยากแสดงออกในภาพนั้นก็คือ การนำสถาบันมาเป็นเครื่องโจมตีทางการเมือง ไม่มีอะไรสร้างสรรค์เลย แล้วคนที่ถูกโจมตี ไม่มีทางรอดต่อสู้อะไรได้ เพราะว่าพูดปุ๊บ คนก็เกลียดแล้ว เพราะฉะนั้น ช่อคิดว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการรักษาสถานะที่มั่นคงสถาพร ทั้งประชาธิปไตยและสถาบันก็คือ อย่านำสถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง นำมาซึ่งเรียกว่าอะไรดี ไม่บังควรต่อสถาบันด้วย ที่ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการเมือง และสำหรับนักการเมือง พรรคการเมืองเอง นี่คือข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมเลย เพราะยากมากที่จะแก้ตัว เครดิตทางการเมืองคุณถูกทำลายไปแล้ว กระบวนการยุติธรรมเองก็ต่อสู้ได้ยากในข้อหาที่หนักขนาดนี้...


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"