เมื่อเดือน มิ.ย.62 ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือบอร์ดอีอีซี ได้เห็นชอบความคืบหน้าการดำเนินการของ 2 โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 หลังจากที่ทั้ง 2 โครงการได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอไปแล้ว และคาดว่าจะมีการลงนามสัญญาร่วมทุนกับเอกชนผู้ชนะโครงการภายในเดือน ก.ค.นี้ ด้วยการลงทุนทั้ง 2 โครงการใหญ่ มูลค่าถึง 271,900 ล้านบาท จะช่วยผลักดันการลงทุนและเศรษฐกิจในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และพื้นที่ใกล้เคียงให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 นั้นเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ตั้งโครงการอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่หน้าท่า 550 ไร่ และพื้นที่หลังท่า 450 ไร่ ความยาวหน้าท่ารวมกัน 2,229 เมตร ซึ่งหลังจากที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ และวัตถุดิบเหลวสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และรับสินค้าผ่านท่า (สินค้าด้านปิโตรเคมี และก๊าซธรรมชาติ) ได้เพิ่มอีก 19 ล้านตันต่อปี ในอีก 20 ปีข้างหน้า
สำหรับแผนการพัฒนานั้นจะแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย งานถมทะเลพื้นที่ 1,000 ไร่ เพื่อรองรับการก่อสร้างท่าเทียบเรือสินค้าเหลว ก๊าซธรรมชาติ และพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมด้านพลังงาน งานขุดลอกร่องนํ้า และแอ่งกลับเรือความลึก 16 เมตร งานระบบสาธารณูปโภค งานอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือบริเวณท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3
ส่วนที่ 2 จะเป็นการก่อสร้างท่าเทียบเรือบนพื้นที่ถมทะเล เพื่อรองรับการขนถ่ายสินค้า โดยแบ่งเป็น ท่าเทียบเรือสินค้าเหลว 2 ท่า มีพื้นที่ 200 ไร่ ความยาวหน้าท่า 814 เมตร ท่าเทียบเรือก๊าซ 3 ท่ามีพื้นที่ 200 ไร่ ความยาวหน้าท่า 1,415 เมตร ท่าเทียบเรือบริการ รวมถึงคลังสินค้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าชธรรมชาติ 150 ไร่
หลังจากเปิดประมูลมีภาคเอกชนให้ความสนใจจำนวนมาก และผู้ที่ชนะการประมูลคือ กลุ่มกิจการร่วมค้า กัลฟ์และพีทีทีแทงค์ ประกอบด้วย บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) โดยร่วมกันถือหุ้นในสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ โดยผู้ชนะประมูลโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่ 1) ระยะเวลา 30 ปี วงเงิน 45,480 ล้านบาท หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการในปี 2567
ล่าสุด ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ กนอ. นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ได้ระบุถึงความคืบหน้าโครงการว่า ก่อนหน้านี้ กนอ.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเองแล้วจำนวน 3 ครั้ง และได้เสนอรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ทั้งในขั้นตอน สผ. และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) เรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกรมเจ้าท่าเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 4 เกี่ยวกับการถมทะเล คาดจะมีขึ้นในปลายเดือน ก.ค.-ส.ค.62 นี้ หากประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นด้วย ก็จะสามารถนำโครงการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และเซ็นสัญญากับภาคเอกชนเป็นลำดับถัดไป
คงต้องจับตาดูว่าการรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 4 จะมีผลออกมาอย่างไร จะราบรื่นหรือไม่ราบรื่น เพราะที่ผ่านมานั้น แม้ว่าการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ผ่านแล้วก็ตาม แต่ในส่วนของการวิเคราะห์ผลกระทบสุขภาพ (EHIA) ยังไม่มีความชัดเจนว่าผ่านหรือไม่ผ่าน อย่าลืมว่าในอดีตที่ผ่านมานั้นมีหลายๆ โครงการที่การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสุขภาพกลับไม่สามารถผ่านไปได้ เพราะชาวบ้านไม่มีความเชื่อถือว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจริง
ซึ่งเกิดขึ้นกับหลายๆ โครงการที่ผ่านมา ต้องปิด ล้มโครงการไป เพราะผลประโยชน์เพียงเล็กๆ น้อยๆ และเพื่อพวกพ้อง จนประเทศเสียหายจ่ายค่าโง่กันมานับพันนับหมื่นมาแล้ว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |