ทหารพล ร.7 ยิงแมวดาวถลกหนังถ่ายรูปโชว์ในไลน์กลุ่มเฟซบุ๊ก กลายเป็นหาภัยใส่ตัว ภาพหลุดสู่สาธารณะสั่งสอบกันวุ่น รองโฆษก ทบ.ยอมรับเป็นฝีมือกำลังพล ผบ.สั่งขังแล้ว ด้านกรมอุทยานฯเตรียมแจ้งความดำเนินคดีเพราะเป็นสัตว์สงวน 
    เมื่อวันพุธ ในโลกออนไลน์มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “WATChdogTHAILAND” ได้โพสต์ข้อความ ล่าถลกหนังแมวดาว สัตว์ป่าคุ้มครองขึงพืดโชว์ส่งอวดกันในไลน์ กลุ่มฝีมือทหารในค่ายแห่งหนึ่ง... เชียงใหม่ พร้อมมีภาพบุคคลอ้างตัวเป็นทหารไล่ล่าแมวดาว ที่คาดว่าเป็นเพศเมียและตั้งท้องด้วย นำมาชำแหละถลกหนังขึงพืด แล้วถ่ายภาพโชว์ในไลน์กลุ่ม-เฟซบุ๊ก
เพจดังกล่าวระบุด้วยว่า WDT รับแจ้งจากผู้ไม่ประสงค์ออกนาม พบคนยิงแมวดาว พร้อมรูปหลักฐานที่ส่งอวดกันในไลน์กลุ่มเฉพาะเมื่อคืนวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา สถานที่ยิง บริเวณป่าในค่าย นอกจากนี้ ยังมีภาพชายคนดังกล่าวถือซากงูสิงด้วย 
    WDT ระบุว่าได้ประสานกองทัพบกและผู้บังคับบัญชาค่ายทหารแห่งนี้ พร้อมส่งหลักฐานต่อกรมอุทยานฯ ประสานทีมพญาเสือ ให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีตาม
    นายสมหวัง เรืองนิวัติกุล ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 เชียงใหม่ กล่าวว่า เบื้องต้นทราบเหตุดังกล่าวแล้ว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นทราบตัวชายที่ปรากฏในภาพและสถานที่เกิดเหตุ โดยเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงเตรียมแจ้งความดำเนินคดีและขอหมายศาลเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งแมวดาวและงูสิงหางลายที่ถูกล่าและปรากฏตามภาพนั้น เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ผู้ที่ครอบครองหรือล่า มีความผิดโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
    สำหรับกรณีที่มีการระบุว่าผู้ชายที่อยู่ในภาพเป็นทหารสังกัดค่ายแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่นั้น นายสมหวังกล่าวว่า ไม่เป็นปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามกฎหมายแต่อย่างใด เพราะหากเป็นผู้กระทำผิดต้องถูกดำเนินการเช่นเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรก็ตาม หากผู้ก่อเหตุเป็นทหารจริง ก็ไม่อยากให้เหมารวม เพราะเป็นการกระทำและพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวกับองค์กร โดยในกรณีนี้ยังจะมีการสอบสวนขยายผลด้วยว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากพบจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกัน
    แหล่งข่าวจากค่ายทหารแห่งหนึ่งในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีการสอบสวนจนทราบตัวผู้กระทำผิดแล้ว โดยเหตุเกิดในค่ายทหารที่มีการเพาะเลี้ยงสัตว์เป็นศูนย์การเรียนรู้ แล้วพบว่ามีสัตว์หายไป จึงทำการดักจับพบเป็นงูสิง ส่วนเรื่องแมวดาว มีทหารเลี้ยงไก่ชนแล้วไก่หายอีกเช่นกัน จึงดักซุ่มยิงเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 6 ก.ค.62 จากนั้นในวันที่ 7 ก.ค.62 มีการถลกหนัง และวันที่ 8 ก.ค.62 นำมาโพสต์ในไลน์กลุ่มไก่ชน ซึ่งผู้บังคับบัญชาพร้อมให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเต็มที่
    พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากกรณีสื่อโซเชียลนำเสนอภาพบุคคลกำลังโชว์ซากแมวดาว โดยถูกวิจารณ์ว่าเป็นการทารุณสัตว์นั้น กองทัพบกได้ตรวจสอบข้อมูล ทราบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นกำลังพลในสังกัดหน่วยทหารกองทัพบกในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หลังเกิดเหตุหน่วยต้นสังกัดได้ตั้งกรรมการสอบสวนโดยทันที ผลการสอบสวนเบื้องต้น กำลังพลยอมรับว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงแมวดาวตามภาพที่ปรากฏโดยไม่ทราบว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยยอมรับและเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป  ซึ่งหน่วยต้นสังกัดได้พิจารณาลงโทษทางวินัยโดยการจำขังกำลังพลดังกล่าวแล้ว รวมถึงประสานและอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
    "​เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน เป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ต้องขอโทษสังคมที่กำลังพลบางนายไปมีพฤติกรรมในลักษณะเป็นการทารุณสัตว์ที่ไม่ควรปรากฏในยุคปัจจุบัน รวมทั้งขอขอบคุณการตรวจสอบและทุกการมีส่วนร่วมที่มีเจตนาที่จะช่วยกันทำให้บรรทัดฐานของสังคมไทยดีขึ้นด้วย" พ.อ.หญิงศิริจันทร์กล่าว
    ด้าน พ.อ.รุ่งคุณ มหาปัญญาวงศ์ โฆษกกองทัพภาคที่ 3 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 ได้เปิดแถลงข่าวที่อาคารเฉลิมพระเกียรติศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมืองพิษณุโลก ถึงกรณีดังกล่าวว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ชายที่ปรากฏในภาพเป็นกำลังพลในสังกัดของหน่วยงานกองทัพภาคที่ 3 จริง และได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด
    เบื้องต้นทราบว่าเป็นทหารชั้นประทวน สังกัดกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) นายหนึ่ง ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกได้สั่งการให้แม่ทัพภาคที่ 3 ดำเนินการตามระเบียบของกองทัพบกอย่างเด็ดขาดเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ซึ่งหากพบว่ากำลังพลดังกล่าวได้กระทำผิดจริงจะได้ดำเนินการลงทัณฑ์ทางวินัย และกฎหมายบ้านเมืองตามกระบวนการยุติธรรมทุกประการ โดยไม่มีการช่วยเหลือหรือปกป้อง โดยกองทัพภาคที่ 3 จะขอเวลาตรวจสอบประมาณ 1 สัปดาห์ และจะชี้แจงต่อสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง.