จับตาอดีตบิ๊กเพื่อไทยทยอยวางมือในงานวันเกิดนายใหญ่ 26 ก.ค.นี้ ตามหลัง "เสี่ยเพ้ง" ขณะที่ "สามารถ" เผลอยอมรับ "ทักษิณ" จะวางมือด้วยหรือไม่ไม่รู้ ด้านพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มหารือเขียนนโยบาย ปชป.-พท.เปิดศึกซัดกันนัว ด่าลั่นไร้ซึ่งศักดิ์ศรี โกงกินงบประมาณแผ่นดิน สภาสั่งได้ออกกฎหมายล้างผิดให้นักโทษทุจริตหนีคดี เอื้อทุจริตจนเคยชิน คิดว่าสมัยนี้คงเหมือนกัน
มีรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประกาศวางมือทางการเมือง ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 69 ปีของตัวเอง เนื่องจากอายุมากและเล่นการเมืองมานานพอสมควรแล้วจึงอยากพักผ่อน
ขณะเดียวกัน มีรายงานตามมาอีกว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนจะทยอยประกาศวางมือทางการเมืองเช่นเดียวกัน ที่น่าจับตาคือวันที่ 26 กรกฎาคม วันคล้ายวันเกิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อาจจะถือโอกาสนี้ประกาศยุติบทบาททางการเมืองเช่นเดียวกับนายพงษ์ศักดิ์
นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายพงษ์ศักดิ์ประกาศวางมือทางการเมืองว่า นายพงษ์ศักดิ์ประกาศเรื่องดังกล่าวในงานวันเกิด เพราะทำงานการเมืองมานานและอายุมากแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่มีนัยอะไร และเชื่อว่าจะไม่มีแกนนำคนอื่นประกาศวางมืออีก เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับพรรค เพราะนายพงศ์ศักดิ์ไม่ได้เข้ามามีบทบาทอะไรกับพรรคมาก เป็นเพียงบุคคลที่สมาชิกพรรคให้ความเคารพและให้คำแนะนำสมาชิกในเรื่องต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง
เมื่อถามว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะวางมือด้วยหรือไม่ นายสามารถตอบว่า ไม่ทราบ และไม่ว่าท่านจะวางมือหรือไม่ ก็ไม่กระทบอะไรกับพรรค เพราะที่ผ่านมาท่านไม่ได้มายุ่งเกี่ยวอะไรอยู่แล้ว
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อคณะรัฐมนตรีไปแล้ว เมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคพลังประชารัฐจะนำนโยบายหลักๆ มาดำเนินการทันที โดยเฉพาะการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน การดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การดูแลภาคเกษตร โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตร เพื่อที่จะให้เศรษฐกิจฐานรากของประเทศดีขึ้น วันนี้บ้านเมืองมีความสงบ ต่างชาติเชื่อมั่นประเทศไทยอย่างมาก
เขากล่าวว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยที่ออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กรณีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยนั้น นายอุตตมชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และผ่านการตรวจสอบมาแล้ว ดังนั้น อย่าบิดเบือนข้อมูล ที่สำคัญนายอุตตมพร้อมที่จะชี้แจงหากพรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง
ทั้งนี้ นายอุตตมผ่านการสอบสวน ทั้ง คตส., ป.ป.ช. ก.ล.ต., แบงก์ชาติ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว แต่ฝ่ายค้านกลับไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม พยายามดิสเครดิตไม่เลิก วันนี้คนไทยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และทุกคนก็เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามที่จะโยงว่า คสช.อาจจะช่วยเหลือกัน ซึ่งไม่เป็นธรรมกับนายอุตตม เพราะเรื่องนี้จบไปก่อนมีคสช.ด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ระวังให้ดี สุดท้ายหอกอาจจะหันกลับไปทิ่มคนที่พรรคเพื่อไทยรักที่สุดก็เป็นได้
ด้านนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ว่าในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ จะเริ่มหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลในการยกร่างนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า เพิ่งทราบเรื่องผ่านสื่อ ในส่วนของพรรค ปชป. จะส่งบุคคลใดไปร่วมหารือนั้น ตามหลักคาดว่าน่าจะเป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เพราะเป็นตัวแทนพรรคในการไปเจรจาพูดคุยมาตั้งแต่ต้น
ส่วนจะมีบุคคลอื่นไปด้วยหรือไม่นั้น ในพรรคต้องมาหารือกันก่อน และขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคด้วยว่าจะสั่งการอย่างไร ทั้งนี้ การจะไปหารือในการจัดทำนโยบายรัฐบาลร่วมกันอาจจะไปเป็นคณะก็เป็นได้
นายนิพนธ์กล่าวว่า ส่วนนโยบายของพรรคที่จะนำเข้าไปใส่ในนโยบายรัฐบาลด้วยนั้น เบื้องต้นมีเรื่องการประกันรายได้ ประกันราคาพืชผลการเกษตร การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในระดับต่างๆ ซึ่งจะเน้นให้ส่วนท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการเกี่ยวกับงานบริการสาธารณะต่างๆ ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงนโยบายด้านอื่นๆ ที่พรรคใช้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
นโยบายปฏิบัติได้จริง
"จะต้องไปพูดคุยกับแกนนำพรรคหลักในการผสมผสานว่าจะใส่นโยบายของพรรคร่วมต่างๆ ลงไปในนโยบายรัฐบาลได้อย่างไร ที่สำคัญต้องสามารถนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้จริง เห็นเป็นรูปธรรม เป้าหมายประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุด" นายนิพนธ์กล่าว
นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และนโยบาย ชพท. กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำนโยบายของรัฐบาลว่า ชทพ.ได้ส่งนโยบายของพรรคไปยังแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ตามที่ได้รับการประสานจากนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพื่อนำไปรวบรวมจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยรายละเอียดหลักๆ เป็นนโยบายเร่งด่วน หรือแผนปฏิบัติการเร่งด่วน 7 ด้านที่ ชทพ.ใช้หาเสียงเลือกตั้งกับพี่น้องประชาชนไว้ ประกอบด้วย 1.ด้านการเกษตร 2.ด้านการศึกษา 3.ด้านสังคม 4.ด้านสาธารณสุข 5.ด้านการกระจายอำนาจ 6.ด้านการท่องเที่ยว และ 7.ด้านพัฒนาเมือง
นายนิกรกล่าวว่า นอกจากนี้ยังส่งนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานฉบับสมบูรณ์ที่ ชทพ.จัดทำขึ้น เมื่อทราบว่าได้รับมอบหมายให้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน 6 หัวข้อหลัก 1.คุ้มครอง อนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนา 2.บริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบ กระจายอำนาจการบริหารไปยังส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น 3.ควบคุมและแก้ปัญหามลพิษ 4.วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้เพื่อความยั่งยืน 5.พัฒนาคุณภาพการผลิตพลังงาน และแสวงหาพลังงานทดแทนจากทรัพยากรธรรมชาติ และ 6.ปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าหลังจากนี้คงจะมีการประสานจากแกนนำพรรครัฐบาลเพื่อนัดหารือในการจัดทำนโยบายอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Anutin Charnvirakul เปิดเผยว่า พรรคภูมิใจไทยนำเสนอนโยบายต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้บรรจุไว้เพื่อเป็นนโยบายของรัฐบาลแล้ว โดยยกตัวอย่างนโยบายหลักและนโยบายด้านสาธารณสุข ที่นำเสนอไป เช่น
ข้อ 1 การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
1.1 เชิดชู สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
1.2 น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชามาเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ยกระดับสาธารณสุข
ข้อ 5 การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน
5.1 พัฒนาและยกระดับความรู้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้เป็นหมอประจำบ้าน โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์หรือโทรเวชกรรม (Tele Medicine)
5.2 พัฒนาการปลูกกัญชาเสรีเพื่อการแพทย์ การอุตสาหกรรม อุปโภคและบริโภค และนันทนาการ ตามลำดับ
5.3 ปรับระบบสาธารณสุขมูลฐาน ระบบหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ และมีความสะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง เพื่อทำให้คนไทยภูมิใจในความเป็นคนไทย และมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
ขณะที่นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ไม่ขานรับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะผลักดันให้รัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย โดยนายอนุทินกล่าวกับสื่อว่า “เรื่องการเมืองคิดว่าเราอยู่ของเราได้แบบนี้” ถือเป็นท่าทีที่ต้องถามนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่ายังยืนยันอยากจะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่อีกหรือไม่
นายวิชิตกล่าวว่า นายจุรินทร์ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ภายหลังการประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหารและ ส.ส.ของพรรค โดยประกาศเงื่อนไข 3 ข้อ อ้างว่าได้รับการตอบรับจากแกนนำพรรคพลังประชารัฐแล้ว จากที่ได้เสนอไป คือ 1.นโยบายแก้จน 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และ 3.รัฐบาลมีความซื่อสัตย์สุจริต หากพรรคพลังประชารัฐผิดไปจากเงื่อนไขดังกล่าว นายจุรินทร์ระบุว่า “พรรคสามารถสงวนสิทธิ์ในการที่จะทบทวนในอนาคตได้ในเรื่องของการเข้าร่วมรัฐบาล” ซึ่งหมายถึงจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนั่นเอง
ทั้งนี้ ตนฟังแล้วก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย มาถึงวันนี้ นายจุรินทร์และพรรคประชาธิปัตย์ยังจำคำแถลงนี้ได้หรือไม่ เพราะหลังจากนั้นมาไม่เคยได้ยินการพูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกเลย ตอนนี้ประชาชนอยากจะฟังว่าเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีประเด็นอะไรบ้าง จะดำเนินการอย่างไร และจะเสร็จสิ้นเมื่อใด ขอเตือนว่าอย่าชักช้า เพราะมีเวลาน้อย รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะอยู่หรือจะไปเมื่อใดก็ยังไม่รู้ได้
“ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปนั่งอยู่ในเรือเหล็กลำใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เกรงว่าจะลืมสิ่งที่เคยพูดไว้ เพราะคู่หูคือพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เอาด้วย จึงนำมาบอกเล่าเพื่อขอให้พรรคประชาธิปัตย์รักษาสัจจะ เพราะการเป็นนักการเมือง หากไร้ซึ่งสัจจะที่ถือเป็นสัญญาประชาคม ก็ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่ต่างไปจากลิเกหรือละครน้ำเน่าประโลมโลก ที่แสดงให้คนดูไม่มีอะไรเป็นสาระจริงจัง” นายวิชิตกล่าว
"ราเมศ"ตอกเจ็บ
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้ว่า ขณะนี้นายจุรินทร์ได้เดินหน้าตั้งใจทำงานเพื่อประชาชนทุกวันอย่างไม่มีวันหยุด ทำให้เห็นด้วยการกระทำ จะเห็นว่าขณะนี้พรรคไม่ได้ออกมาต่อปากต่อคำกับใคร เพราะทุกคนมุ่งมั่นทำงาน เห็นความสำคัญกับแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนมากกว่า โดยภาพการทำงานแต่ละวันจะเป็นประจักษ์พยานที่ดีที่สุด แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยการกล่าวหาเชิงประชดประชัน จึงมีความจำเป็นจะขอชี้แจงด้วยเหตุและผลดังนี้
1.คนชื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ตลอดชีวิตทางการเมือง ไม่เคยมีความด่างพร้อย ไม่เคยทำความเสียหายให้กับประเทศชาติ มีหลักการ มีความซื่อสัตย์สุจริต รักษาคำพูด สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัตินักการเมืองที่ดีของประชาชน พรรคเพื่อไทยอย่ากังวล นายจุรินทร์คิดทำเพื่อประชาชน ไม่ได้คิดหากินกับประชาชนแน่นอน ประชาชนทุกคนวางใจได้
2.กรณีที่พรรคแถลงในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นนั้นคือหลักการที่สำคัญ โดยเงื่อนไขที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอก็ได้รับการตอบรับ เราประสงค์ที่จะให้ประเทศได้เดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น และประสงค์จะเริ่มต้นปลดล็อกหมวดที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำได้ยาก แน่นอนว่าในอนาคตเราก็จะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยหลักกติกาปกติ จึงแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรานี้ก่อน
ส่วนรายละเอียดในการแก้มาตราไหนอย่างไรนั้น ข้อมูลมีครบก็จะเป็นขั้นตอนในวันข้างหน้าต่อไป เราจะก้าวไปเพื่อให้มีประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น แตกต่างจากพรรคการเมืองบางพรรคที่ผ่านมาพยายามทำลายระบบประชาธิปไตย ซื้อเสียง ใช้เสียงข้างมากทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ออกกฎหมายเพื่อตัวเอง โกงงบประมาณแผ่นดิน ทำลายอำนาจตุลาการล้วนเป็นการกระทำที่ทำลายประชาธิปไตยทั้งสิ้น พรรคเพื่อไทยทราบดีว่าคือพรรคการเมืองไหน หากไม่ทราบก็จะอ่านคำพิพากษาศาลให้ฟัง ทุกคนในพรรคเพื่อไทยคงดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกกันทั้งพรรค
3.ที่บอกว่าตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์เข้าไปนั่งอยู่ในเรือเหล็กลำใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว เกรงว่าจะลืมสิ่งที่เคยพูดไว้ เพราะการเป็นนักการเมืองหากไร้ซึ่งสัจจะที่ถือเป็นสัญญาประชาคมก็ไร้ศักดิ์ศรี ไม่มีใครเชื่อถือ พรรคเพื่อไทยพูดแบบนี้เหมือนคนที่โกหกจนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองโกหกอยู่ทุกวันว่านั่นคือความจริง โดยเฉพาะพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมา
พรรคที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
"พรรคการเมืองในประเทศมีหลายพรรค แต่พรรคที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ คือพรรคที่โกงกินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน และความจริงในทางการเมือง ไม่ว่าเราจะนั่งเรือลำเล็กลำใหญ่ไม่สำคัญ ถ้าเรือนั้นเป็นเรือที่พาพี่น้องประชาชนพ้นความทุกข์ยาก และเห็นประชาชนเป็นที่ตั้ง พรรคเพื่อไทยเคยนั่งเรือลำใหญ่ แต่ในเรือมีแต่ความสำราญของคนในครอบครัวและบริวาร สำราญจากความทุกข์ของประชาชนและประเทศ ใช้ประชาชนให้ทำงานในเรือเพื่อให้เจ้าของเรือ มีรายได้จากการสูบกินก็ส่งออกต่างประเทศ สุดท้ายก็ทิ้งประชาชนไว้กลางทะเล แต่ตอนจบเรือลำนั้นก็ชนสิ่งโสโครกอับปางกลางทะเล"
นายราเมศกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือความแตกต่าง ระหว่างเรือใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เจ้าของเรือมีคนเดียว แต่เรือลำนี้จะเป็นเรือของประชาชน ที่ทุกภาคส่วนจะช่วยกันเพื่อนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือความสำเร็จในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ขณะนี้ทุกคนตั้งใจทำงานให้กับประชาชนและประเทศ พรรคเพื่อไทยทำดีแล้ว อย่าสนใจปัญหาต่างๆ ของประชาชนเลย สู้เพื่อประโยชน์ของคนในพรรค สู้เพื่อครอบครัวบางครอบครัวที่เป็นเจ้าของพรรคให้เดินหน้าทำต่อไป ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ เราจะทำงานก้าวไปข้างหน้าโดยยึดประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง วันข้างหน้าจะเป็นประจักษ์พยานที่ดีที่สุด
นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมตรวจสอบการทำงานและคุณสมบัติของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า การตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีถือเป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายค้านจะต้องตรวจสอบ ก่อนการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พล.อ.ประยุทธ์ คงจะตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่าจะไม่ขัดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ แต่ในเรื่องของจริยธรรมและภาพลักษณ์ของว่าที่รัฐมนตรีบางคนตามโผนั้น อาจจะมีปัญหาที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องการทุจริตหรือมีภาพลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมในการเป็นผู้มีอิทธิพล ตรงนี้คงต้องมีการตรวจสอบกันไป
ในส่วนของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มีชื่อตามโผเป็น รมว.การคลัง ถ้ารัฐบาลอื่นที่ผ่านมาคงต้องถอนตัวไปแล้ว ทางพรรคอนาคตใหม่เราจะรอดูการบริหารงานของรัฐบาล หากเกิดการทุจริตหรือเห็นว่าการทำงานไม่ตอบโจทย์ เราจัดหนักแน่ เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ย้ำมาตลอดว่าเข้ามาบริหารประเทศเพื่อความสงบและปราบทุจริต
นายคารมกล่าวอีกว่า พรรคอนาคตใหม่เน้นการทำงานตามกลไกรัฐสภา เราจะค้านอย่างมีเหตุผลและทำตามกฎและกติกาตามที่กำหนดไว้ และตนคิดว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ควรหยิบมาเป็นประเด็นโจมตีกัน อย่างเช่นเรื่องการแต่งกายของ ส.ส.ในสภา หรือบางเรื่องที่ไม่ควรเป็นประเด็นอะไรเลย
อย่าเอาเรื่องเล็กมาโจมตี
“พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ที่เน้นทำการเมืองแบบใหม่ เพื่อช่วยให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ที่ผ่านมาเราไม่เคยไปโจมตีใครก่อน มีแต่ถูกกระทำก่อนทุกครั้งเราถึงออกมาชี้แจง ผมจึงอยากขอร้องให้นักการเมืองทำงานอย่างสร้างสรรค์เพื่อประชาชน อย่าเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีอะไรมาโจมตีกันจนเป็นเรื่องใหญ่” รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุ
ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ถ.ศรีจันทร์ เขตเทศบาลนครขอนแก่น นายพลชัย โสภกันต์ ประธานชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำคณะกรรมการบริหารชมรมครูประชาบาลจากทั้ง 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมกว่า 30 คน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ เพื่อส่งถึงว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ในการแก้ไขปัญหาครูอย่างจริงจัง
นายพลชัย โสภากันต์ ประธานชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ในการปฏิรูประบบการศึกษาธิการของไทยในรัฐบาลที่ผ่านมา มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งวันนี้เรามีรัฐบาลชุดใหม่ในการเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ชมรมครูประชาบาลยังคงอยากที่จะให้รัฐบาลนั้นได้เข้ามาแก้ปัญหาระบบครูอย่างจริงจัง เพราะถือเป็นหัวใจหลักของการศึกษาไทย เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการครู นักเรียน และผู้ปกครอง
“จากการประชุมร่วมผู้นำครูประชาบาลในภาคอีสาน เราได้ข้อสรุปที่สำคัญ 4 ข้อที่ขอเรียกร้องและเป็นไปตามความต้องการขององค์กรครูและผู้ประกอบวิชาชีพครู ทำให้วันนี้จึงได้มายื่นหนังสือและส่งเรื่องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ ได้เข้ามาจัดระบบการศึกษาของไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่ง 4 ข้อเรียกร้องที่ครูอีสานเสนอนั้น ประกอบด้วยการให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุม คือครูต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ, ครูต้องเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กระทรวงศึกษาธิการต้องกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเป็นนิติบุคลตามกฎหมายมหาชน และกระทรวงศึกษาธิการต้องเป็นต้นแบบประชาธิปไตย”
ขณะที่นายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่า นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จะนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งข้อร้องเรียนและข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้นั้น จะมีการส่งถึงมือรัฐมนตรีใหม่ทันทีหลังการเข้ารับตำแหน่ง เพื่อให้เกิดแนวทางการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในการปฏิรูปครู เพราะในขณะนี้พรรคพลังประชารัฐนั้นจะรับผิดชอบในการบริหารจัดการด้านการศึกษาของไทย ทั้งกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษาฯ
ล้างผิดนักโทษหนีคดี
“ขอให้ครูทั้งประเทศได้มั่นใจได้ว่า รัฐบาลโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ได้มอบหมายภารกิจที่สำคัญในการจัดการและวางระบบการศึกษาของไทยให้กับพรรคพลังประชารัฐ ดังนั้นการแก้ไขหรือการจัดระบบการศึกษาไทยให้เป็นไปตามความต้องการและเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูป ที่เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริง และเป็นเรื่องจริงที่วงการการศึกษาไทยนั้นต้องการ ซึ่งหากทำไม่ได้ พรรคพลังประชารัฐนั้นต้องรับผิดชอบ”
นายเอกราชกล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลได้ไว้วางใจและมอบหมายให้นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นั่งในตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ขั้นตอนของการเสนอชื่อเพื่อโปรดเกล้าฯ ซึ่งนายณัฏฐพลนั้นถือว่าเหมาะสมในตำแหน่งอย่างมาก เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในเรื่องของวงการการศึกษาของไทยเป็นอย่างดี
วันเดียวกันนี้ นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายสุทิน คลังแสง ออกมากล่าวหานายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่องบรรจุญัตติในสภาว่า ญัตติที่เสนอมานั้นไม่ใช่หน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นเหตุที่ไม่บรรจุ เพราะตามมาตรา 129 ของรัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาจะตั้งกรรมาธิการฯ กระทำกิจการ สอบสวน ศึกษาเรื่องใดต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของสภา เมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา 269 กำหนดให้การสรรหาแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นอำนาจของ คสช. ดังนั้นจึงไม่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของสภาที่จะไปสอบสวน
"คุณสุทินบอกว่า ปกติถ้าผู้เสนอญัตติเขียนญัตติไม่ถูกต้อง สภาจะเชิญไปแก้ไข ครั้งนี้ทำไมไม่เชิญ แต่ตีตกเลย ที่ผ่านมาถ้าสภาเห็นว่าญัตตินั้นมีเนื้อหาสาระที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของสภาที่กระทำได้ แต่ยังมีข้อความหรือถ้อยคำที่ไม่ถูกต้องก็จะเชิญมา แต่ญัตติของคุณสุทิน ไม่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของสภา จึงไม่ต้องเชิญมาแก้ไข คุณสุทินคงเคยชินกับสภาสั่งได้เหมือนในอดีต จึงไม่ยอมรับฟังเหตุผลของการไม่บรรจุญัตติการตรวจสอบที่มา ส.ว."
เขากล่าวว่า อาจเพราะนายสุทินห่างจากสภามานาน เพราะคราวที่แล้วอยู่ในกลุ่มถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง และเคยอยู่ในสภาสมัยสภาสั่งได้ ยุคสมัยที่สภาเป็นแบบเผด็จการรัฐสภา สภาจึงรับคำสั่งให้บรรจุญัตติ ออกกฎหมายเพื่อนายทุนพรรคตนเอง เช่น ออกกฎหมายล้างผิดให้นักโทษทุจริตหนีคดี ออกนโยบายโครงการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท หรืออนุมัติงบประมาณในโครงการที่เอื้อต่อการทุจริตจนเคยชิน คิดว่าสมัยนี้คงเหมือนกัน จะเอาอะไรก็ต้องเอาให้ได้ เอาเรื่องเอาญัตติที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจตนเองมาบรรจุให้ได้ ไม่เคารพการตัดสินของประธานสภา ซึ่งท่านได้มอบหมายให้รองประธานได้พิจารณาอย่างรอบคอบ เชิญนักกฎหมาย ที่ปรึกษามาร่วมพิจารณา ซึ่งท่านเคารพต่อหลักการความยุติธรรม แต่คุณสุทินทำตัวเป็นเด็กเกเรประจำสภา ไม่ยอมรับคำตัดสิน” นายสมบูรณ์กล่าว
นายสมบูรณ์กล่าวอีกว่า สภาผู้แทนราษฎรเป็นสถาบันเพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เป็นสถาบันออกกฎหมายเพื่อความเป็นธรรมของสังคม อย่าใช้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อใช้ต่อรองทางการเมือง สร้างความแตกแยกในสังคม.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |