แนวคิดการเมือง ช่อ-พรรณิการ์ กับทิศทางพรรค อนค.
นักการเมือง-ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน คนที่ถูกจับตามองทุกฝีก้าวมากที่สุด ตั้งแต่เรื่องแนวคิดทางการเมือง-การอภิปรายในห้องประชุม แม้แต่เรื่องการแต่งกายเข้าประชุม ทั้งที่เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ เพิ่งเข้าสภาฯ ครั้งแรก คงไม่พ้น น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ แกนนำพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) คนสำคัญที่ร่วมก่อตั้งพรรคตั้งแต่ต้น พร้อมกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล
ประวัติการศึกษา-การทำงานก่อนหน้านี้ของ ช่อ-พรรณิการ์ ไม่ต้องปูพื้นมากนัก เพราะส่วนใหญ่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นนักการเมืองคนดัง โดยเฉพาะในสังคมโซเชียลมีเดีย
สนทนาการเมืองกับ ช่อ-พรรณิการ์ หลายเรื่อง ทั้งเรื่องบทบาทพรรค อนค.ในฐานะฝ่ายค้าน-การขับเคลื่อนของพรรคต่อจากนี้หลังตั้งพรรคมาได้ 1 ปีกว่า เช่น การเตรียมส่งคนลงเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น และแน่นอนที่สุด กับเรื่องที่เมื่อไม่นานมานี้ ที่มีการนำภาพในอดีตสมัยจบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มาเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากในสังคมวงกว้าง
เมื่อยิงคำถามไปว่า พรรค อนค.เข้าสู่การเลือกตั้งครั้งแรก ก็ได้ ส.ส.มาถึง 81 เสียง คิดว่ามีบางกลุ่มพยายามสกัดดาวรุ่งหรือไม่ อย่างที่คนพูดกันมากว่ามีบางกลุ่ม เช่น ฝ่ายอนุรักษนิยมพยายามไม่ให้พรรค อนค.เติบโตไปมากกว่านี้ ช่อ-โฆษกพรรค อนค. ระบุว่า เรื่องนี้คงเป็นที่ประจักษ์ชัดกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ การดิสเครดิต ทำลายกันในเรื่องความน่าเชื่อถือด้วยข่าวปลอม ข่าวลวง Fake News ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เกิดขึ้นกับพรรค อนค.มากที่สุดในบรรดาทุกพรรค หากถามว่าเป็นเพราะอะไร ก็คงเพราะพรรคเราพูดชัดเจนที่สุดในเรื่องการต้าน คสช. การไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ราคาที่มันต้องจ่าย ก็คือเรื่องอะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งถามว่าจำเป็นที่ต้องจ่ายไหม ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายในเมื่อต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง
-มองว่ากลุ่มที่ต้องการสกัดพรรคมีเป้าหมายอะไร ต้องการให้หายไปเลยหรือแค่ต้องการให้ธนาธรกับปิยบุตรหายไปจากการเมือง?
เป้าหมายของเขาก็คงเป็นเป้าหมายของเขา เราคงไม่ทราบได้ แต่เป้าหมายของเราก็คือ ต่อให้คุณกำจัดใครได้ กำจัดพรรคอนาคตใหม่ ที่ก็ทำได้ ยุบพรรคได้ แต่คุณกำจัด 6 ล้าน 3 แสนเสียงไม่ได้ คนที่เลือกไปแล้วและยิ่งเขาเห็นการถูกกระทำโดยความอยุติธรรม มันจะยิ่งขยายจากหกล้าน เป็นเจ็ดล้าน แปดล้าน เก้าล้าน สิบล้าน คุณกำจัดอะไรก็ไม่ได้ ไม่ว่าเป้าหมายคุณจะเป็นอะไร จะเป็นธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ หรือกรรมการบริหารพรรคทุกคน พรรคอนาคตใหม่ คุณกำจัดได้หมดเลย เพราะคุณมีกฎหมาย มีองค์กรอิสระอยู่ในมือ แต่คุณกำจัดเสียงประชาชน 6 ล้าน 3 แสนเสียงไม่ได้ และจะยิ่งทำให้มันขยายตัวขึ้น
-เวลามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีเสียงสะท้อนจากคนซึ่งถูกมองว่าอยู่ฝ่ายเดียวกัน ออกมาวิจารณ์พรรค อนค. เช่น อ.ใจ อึ๊งภากรณ์, เอกชัย หงส์กังวาน, ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ พรรครับฟังหรือไม่?
เป็นนักการเมืองและพรรคการเมือง อย่างหนึ่งที่ต้องเจอและยอมรับก็คือเสียงวิจารณ์จากประชาชน เพราะเราคือบุคคลสาธารณะ คำวิพากษ์วิจารณ์เราจึงต้องรับฟัง ไม่ว่าจะรุนแรงขนาดไหนก็ตาม การวิจารณ์แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ถ้าวิจารณ์ในลักษณะที่ไม่ได้เรียกว่าวิจารณ์แล้ว แต่เป็นลักษณะ hate speech วาทะเกลียดชัง ก็คงปล่อยไป คงไม่ได้ประโยชน์อะไรที่เราจะไปต่อความยาวสาวความยืด สร้างวาทะเกลียดชังเพิ่มเป็นสองเท่า แต่คำวิจารณ์ที่มีเหตุมีผล มีหลักการ โดยความคิดเห็นที่ตั้งใจให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นในประเทศ ไม่ได้หวังดีกับพรรคอนาคตใหม่ด้วยก็ได้ แต่หวังดีกับประเทศชาติ ประชาชน ก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับฟัง
...หลายอย่างเราก็รับฟังและนำมาปรับปรุง อย่างเช่นข้อวิจารณ์ใหญ่ๆ ที่เราโดนก็คือ พรรคยึดติดกับธนาธรมากเกินไป เป็นลัทธิบูชาตัวบุคคลหรือไม่ เรื่องนี้เราก็บอกว่าเป็นความจำเป็น เพราะเขาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค เราไม่ชูเขา แล้วเราจะไปชูใคร แต่เราก็ไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั้นตลอดไป พ้นช่วงหาเสียงแล้ว พรรคจำเป็นต้องเป็นสถาบัน อันนี้ก็คือสิ่งที่เรารับมาปรับปรุงแก้ไข หรือที่บอกการสื่อสารของพรรค ชนชั้นกลางมากเลย วัยรุ่นมากเลย ทอดทิ้งคนแก่ คนสูงอายุ คนชนบท หรือไม่ เรื่องนี้เราก็รับมาปรับปรุงที่จะหาวิธีทำอย่างไรให้พรรคเข้าถึงผู้สูงวัยมากขึ้น ให้เข้าถึงประชาชนในระดับรากหญ้ามากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เป็นการบ้านที่เราต้องทำต่อไป
-เสียงวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียก่อนหน้านี้ เชื่อหรือไม่ว่า มี IO (ปฏิบัติการสารสนเทศ - Information Operations) ที่กำหนดว่าตัวคุณพรรณิการ์เป็นเป้าหมายหนึ่งที่จะต้องโดน?
ไม่ใช่แค่กรณีของช่อล่าสุดอย่างเดียว แต่ก็จะเห็นว่า เขาก็เล่นไล่มาเรื่อยๆ จากเล่นธนาธร มาอาจารย์ปิยบุตร แล้วก็มาเล่นช่อ 3 คน แล้วที่โดน เราในฐานะที่เคยทำงานข่าวมาก่อนด้วย เราก็มองมันอย่างเห็นปรากฏการณ์เบื้องหลังที่ค่อนข้างเข้าใจว่าอย่างบางเพจ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็น IO ฝั่ง คสช.พูดง่ายๆ เล่น แล้วอีกเพจที่เป็นเครือข่ายเดียวกันรับ สื่อที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นฝั่งไหน ก็นำไปเล่นต่อ ขยายกันอยู่ในวงแบบนี้ เรามองเห็นมันชัด เพราะว่าแพตเทิร์นมันซ้ำๆ คนนี้เล่น คนนั้นรับ เอานักวิชาการออกมาพูด เอาสื่อนี้ออกมาพูด ไปเล่นต่อในช่องนั้น มันจะเป็นแพทเทิร์นที่เห็นซ้ำๆ
...จริงๆ คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบอกให้ประชาชนใช้วิจารณญาณ ส่วนวาทะสร้างความเกลียดชัง ทางผู้สนับสนุนของพรรคอนาคตใหม่เอง บางครั้งนะ บางครั้ง ก็ตอบโต้ hate speech ด้วย hate speech ซึ่งเราจะเตือนอยู่เสมอว่า หากคุณตอบโต้ hate speech ด้วย hate speech สิ่งที่คุณทำอยู่ก็คือ ไปเพิ่ม hate speech เป็น 2 เท่า ซึ่งไม่เป็นผลดีกับสังคม คือไม่ควรเกลียดชังกันไปมากกว่านี้หรือแตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันไปมากกว่านี้แล้วในสังคมไทย เราก็พยายามบอก Futurista คนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ว่า ถ้าคุณอยากให้คนที่เห็นต่างมาเห็นด้วยกับคุณในวันหนึ่ง การใช้ hate speech คือการปิดประตูตาย เขาด่าคุณ คุณก็ไปด่าเขา แบบนี้คือจบ คุณไม่มีทางที่จะทำให้เขาหันมาเชื่อคุณได้ แต่ถ้าเขาด่าคุณ แล้วคุณพูดด้วยเหตุผล ชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงกับเขา ตอนนี้เขาอาจไม่เห็นด้วยกับคุณ แต่ใครจะไปรู้ว่า ผ่านไปอีก 5 วัน 10 วัน 5 เดือน 10 เดือน 5 ปี 10 ปี เขาอาจย้อนกลับมาดูสิ่งนี้ หรือเขาอาจไปได้ข้อมูลอะไรมาเพิ่มเติม มันอาจมีสักวันที่เขาหันมาเข้าใจ แม้เขาอาจไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยเขาเข้าใจว่า สิ่งที่คุณเชื่อ สิ่งที่คุณชอบ มันคืออะไร มันยังมีโอกาส มีประตูนั้นอยู่ แต่ถ้ามี hate speech แล้วต่อด้วย hate speech คือจบ ปิดเลย ไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจกันได้อีกต่อไปแล้วสำหรับคนสองคนนี้ อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามสร้างความเข้าใจกับผู้สนับสนุนเรา
-มองว่าไม่ใช่การใช้วิธีการเดิมๆ แบบในอดีต ที่นักการเมืองหญิงจะโดนเรื่องชู้สาว แต่ตอนนี้มาเป็นเรื่องการเสนอแนวคิด การแต่งกาย?
จริงๆ ก็ยังไม่ค่อยพ้นนะ ช่อก็มองเห็นว่ามันยังมีความพยายามดิสเครดิตกันด้วยเรื่องเดิมๆ เรื่องเสื้อผ้า หน้าผม เรื่องกิริยามารยาท เราไม่ได้บอกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่ามันคงไม่ได้สำคัญไปกว่าเนื้อหาสาระที่เรานำเสนอต่อสภาฯ คือเราจะบอกว่าไม่ใช่ว่าเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม กิริยามารยาทไม่สำคัญ เพราะเอาเข้าจริงแล้วทั้งหมดก็เป็นการแสดงออกทางการเมืองอย่างหนึ่ง เราตั้งใจใส่ชุดอะไรบางอย่างมันก็มีความตั้งใจของเราบางอย่างว่า เราอยากแสดงออกในเรื่องไหน เช่น “ขาว-ดำ” ทำไมไม่ดำล้วน ก็ผู้ชายใส่ขาวดำได้ แล้วผู้หญิงทำไมต้องดำล้วน นึกออกไหม
“มันก็เป็น Political Statement การแสดงออกทางการเมืองอะไรบางอย่างที่เราตั้งใจ แต่กลายเป็นว่ามันถูกลดทอนไป มาบอกว่าไม่มีกาลเทศะ สวย-ไม่สวย ทำผมอะไร แต่งตัวไปช็อปปิ้ง ช่อก็คิดว่าอันนี้ก็เป็นความตั้งใจที่พยายามจะทำลายความน่าเชื่อถือของเรา”
...โดยการผูกเข้าไปกับเรื่องที่มันเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่ามันไร้สาระ แทนที่จะมาพูดว่า เราอภิปรายในสภาฯ เราพูดในสภาฯ เป็นเรื่องเป็นราวยาวนาน 10 นาที 15 นาที แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเลย ทุกคนไปพูดว่าเราใส่กระโปรง ใส่เสื้อยี่ห้ออะไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ช่อคิดว่านักการเมืองหญิง รวมถึงนักการเมืองหลากหลายทางเพศ (LGBT) ยังต้องต่อสู้กันอีกเยอะพอสมควร
-การนำเรื่องวิธีคิดของเราสมัยเป็นนักศึกษามานำเสนอเวลานี้ คล้ายๆ กับให้เกิดความซับซ้อนว่าในอดีตเคยมีวิธีคิดแบบนี้ เป็นวิธีการที่ซับซ้อน หรือจริงๆ ก็เป็น IO แบบทื่อๆ?
โอ้ว คลาสสิกมากเลยค่ะ อันนี้คลาสสิกแบบยิ่งกว่ามาม่ารสต้มยำกุ้งอีกนะ เอาง่ายๆ ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ นักการเมืองฝ่ายก้าวหน้าแทบทุกคนในประเทศไทย เคยโดนเรื่องนี้มาแล้วทั้งนั้น
“ช่อตกใจเรื่องหนึ่งนะ ช่อเคยไปคุยกับอดีตนายกฯ ที่ได้รับการยกย่องมากท่านหนึ่ง และยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังบอกเลยว่า คุณไม่ต้องไปคิดมากนะ เรื่องแบบนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่คุณโดน ผมยังเคยถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มาแล้วเลย
คือเรื่องแบบนี้ พอถึงจุดที่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาโจมตีเราให้ลงได้แล้ว ก็จะหยิบเรื่องนี้มา นี่คือสิ่งที่นักการเมืองไทยโดนมาตลอด จะไม่ใช่ช่อเป็นคนแรก และจะไม่ใช่คนสุดท้าย มันเป็นมุขคลาสสิก ก็เพราะว่ามันรุนแรง แก้ตัวได้ยากมาก จนถึงไม่ได้เลย”
...ยังดีที่ยุคนี้บ้านเมืองเปิดกว้าง และทำความเข้าใจกันด้วยเหตุผลมากกว่าสมัยก่อน นี่คือสิ่งที่เราเห็นจากปรากฏการณ์นี้ สุดท้ายแล้ว feedback ที่ช่อได้รับคือ คนจำนวนมากเข้าใจว่านี่คือการโจมตีทางการเมือง และเข้าใจไปถึงขั้นว่า คุณไม่รู้จะเอาอะไรมาโจมตี ก็เอาเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ เรื่องที่พูดปุ๊บ คนเกลียดทันที สังคมได้เรียนรู้จากมุกนี้ที่ซ้ำซากมาหลายสิบปีว่า พอเถอะกับการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้
เมื่อถามย้ำว่า ช่วงดังกล่าวตอนนั้นเครียดไหม ช่อ-พรรณิการ์ ตอบทันที ไม่เครียด มีเครียดนิดนึง ที่กระทบกับเพื่อน กับคุณพ่อ ซึ่งเวลาเราทำงานการเมือง เราเตรียมใจอยู่แล้วว่าเราจะโดนเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เราไม่ได้เตรียมใจไปถึงคนที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการตัดสินใจกับเรา คือเขาไม่ควรโดน เพราะเขาเป็นพ่อเรา ไม่ควรโดน เพราะเขาเป็นเพื่อนเราสมัยเรียน อันนี้ก็เสียใจ ค่อนข้างเสียใจเยอะเลย แต่ว่าถ้าโดยส่วนตัวของตัวเอง ไม่เครียด เพราะเรามองเป็นปรากฏการณ์ เรามองเห็นกระบวนการสร้างข่าว การโจมตีอย่างเป็นระบบ มีรับทอดกันเป็นช่วงๆ เราเห็นอยู่แล้วว่า มันเป็นการทำงานที่ตั้งใจทำกันขึ้นมา และเราเห็นแพทเทิร์น การทำลายนักการเมืองด้วยวิธีแบบนี้มาหลายครั้ง มันน่าเสียใจหน่อยตรงที่ว่า ยังไม่หยุดใช้กันเสียที แต่ว่าเป็นนักการเมืองในยุคนี้ก็ต้องทำใจ
-ช่วงแรกเลยที่เห็นคนเริ่มแชร์ภาพดังกล่าวในอดีต ตอนนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ประหลาดใจหรือว่าอะไร?
สิ่งแรกที่ขึ้นมาในหัวเลยนะคือ อ๋อ เล่นเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ เราไม่ได้คิด คือเราคิดว่าน่าจะเป็นมาตรการจากเบาไปหาหนัก เราไม่คิดว่าเราเข้าสภาฯ ไปแค่ไม่ถึงเดือน ก็เจอเรื่องนี้เลย ก็ยังคิดเลยว่า เออนี่เขาก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเล่นเราแล้วนะ คือเล่นเรื่องแบบนี้แทบจะทันทีที่เราเข้าสภาฯ ก็แปลกใจ ภูมิใจเล็กๆ นะ ว่าเออ เห็นความสำคัญของฉันขนาดนี้เลยหรือ ก็งง
-ที่ผ่านมาพรรคก็ถูกมองในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันมาตลอด พอมาเจอกรณีกับเรายิ่งทำให้พรรคต้องระวังหรือไม่?
ไม่ค่ะ เป็นโอกาสดีของพรรคด้วยซ้ำที่ได้พูดเรื่องนี้อีกครั้ง พอมีเรื่องช่อขึ้นมา เป็นโอกาส เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ พรรคจะไปพูดกับสาธารณชนว่าพรรคมีจุดยืนด้านสถาบันยังไง ถูกไหม ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ คนเราจะมาพูดกัน แต่พอมีประเด็นแบบนี้เกิดขึ้น ก็เลยเป็นโอกาสที่พรรคได้ย้ำอีกครั้ง ว่าจุดยืนของพรรคอนาคตใหม่ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่าไร ซึ่งเราเคยพูดกันมาแล้วหลายโอกาส ในช่วงเลือกตั้ง ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีแกนนำพรรคหลายคนถูกโจมตีในเรื่องข้อหาแบบนี้ แต่ยิ่งมีการโจมตี ก็ยิ่งเป็นโอกาสให้เราได้ชี้แจงว่า พรรคทำงานในสภาฯ เมื่อทำงานในสภาฯ หมายถึง เรายอมรับแล้วในเรื่องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั่นคือระบอบรัฐสภาของประเทศไทย มันไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เพราะฉะนั้น นี่ก็คือจุดยืนที่ชัดเจนที่สุดแล้ว และตอนคุณธนาธรแสดงวิสัยทัศน์ นายกฯ ก็ยังย้ำด้วยซ้ำว่า พรรคอยากเห็นประเทศไทยที่ระบอบประชาธิปไตยเคียงคู่ไปกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมั่นคงสถาพร
-จากที่ให้สัมภาษณ์เหมือนกับยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงตามวันเวลาของอายุ มาถึงตอนนี้ที่เราเป็นนักการเมืองก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เราเข้ามาเป็น ส.ส. มีความรู้สึกว่าเราอยากอยู่ตรงนี้ต่อ อยากทำให้มันดี เหมือนกับจะยอมรับว่าความคิดเราเปลี่ยน?
ช่อคิดว่าคนเราตอนอายุ 21 ปี เรียนจบปริญญาตรี กับคนตอนอายุ 31 ปี จบปริญญาโท ทำงานข่าวมาแล้ว 6 ปีครึ่ง แล้วมาเป็น ส.ส. ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ก็คงประหลาดมนุษย์นะ
...คือเราเห็นโลกมากขึ้น เจอคนมากขึ้น เราเจอวิกฤติบ้านเมืองมาหลายครั้งมากขึ้น ความคิดอะไรต่างๆ ต่อการเมืองของเราย่อมเปลี่ยนไป แต่ถามว่าเปลี่ยนไปทั้งหมดไหม แน่นอนว่าไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมด ถ้าเปลี่ยนไปทั้งหมดอันนั้นเรียกว่า ไม่มีจุดยืน ไม่ใช่ ส่วนอะไรบ้างที่เปลี่ยน อะไรที่ไม่เปลี่ยน อะไรที่ยังไม่เปลี่ยนเลย น่าจะสำคัญกว่า คือตอนนั้น ภาพนั้น อย่างที่เคยอธิบายไป เป็นการพูดถึง ด้วยความตลกร้ายนะว่า คนเราถูกชี้หน้าง่ายมากว่าเป็นพวกไม่จงรักภักดี ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ตลกมาก โดนโจมตีด้วยภาพนี้ว่าเป็นคนไม่จงรักภักดี ทั้งที่ในอดีตตอนนั้น สิ่งที่เราทำในภาพนั้นก็คือการล้อเลียนว่าถูกชี้หน้าว่าไม่จงรักภักดีได้ง่ายมาก อะไรแบบนี้
-ที่เคยบอกควรหยุดการใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทำลายทางการเมือง?
อันนั้นยังเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยน จริงๆ สิ่งที่อยากแสดงออกในภาพนั้นก็คือ การนำสถาบันมาเป็นเครื่องโจมตีทางการเมือง ไม่มีอะไรสร้างสรรค์เลย แล้วคนที่ถูกโจมตี ไม่มีทางรอดต่อสู้อะไรได้ เพราะว่าพูดปุ๊บ คนก็เกลียดแล้ว เพราะฉะนั้น ช่อคิดว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการรักษาสถานะที่มั่นคงสถาพร ทั้งประชาธิปไตยและสถาบันก็คือ อย่านำสถาบันมาเป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง นำมาซึ่งเรียกว่าอะไรดี ไม่บังควรต่อสถาบันด้วย ที่ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับการเมือง และสำหรับนักการเมือง พรรคการเมืองเอง นี่คือข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมเลย เพราะยากมากที่จะแก้ตัว เครดิตทางการเมืองคุณถูกทำลายไปแล้ว กระบวนการยุติธรรมเองก็ต่อสู้ได้ยากในข้อหาที่หนักขนาดนี้
-คิดว่าหลังจากนี้เราและพรรคจะโดนอะไรอีกไหม?
อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะไปควบคุมได้ เพราะฉะนั้นเราตอบไม่ได้ แต่ที่เราตอบได้ คือไม่ว่าทางฝั่งนั้นคิดว่าจะทำอะไรกับพรรคเรา อย่างที่บอกไป คุณทำลายคนในพรรคอนาคตใหม่ได้ คุณทำลายแม้แต่พรรคอนาคตใหม่ได้ คุณยุบพรรคได้ แต่คุณทำลายเสียงสนับสนุนที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้
-มองว่าวันนี้นักการเมืองเปลี่ยนไปไหม?
ช่อไม่เคยคิดอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่คิดนะที่ว่านักการเมืองเลว ชั่ว สกปรก เราคิดแต่ว่าถ้าคุณไม่มีศรัทธาต่อนักการเมือง พรรคการเมือง แล้วคุณจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้อย่างไร เพราะคุณจะเปลี่ยนแปลงได้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณต้องเข้าไปมีอำนาจรัฐ ผ่านนักการเมือง พรรคการเมือง ถ้าคุณคิดว่ามันสกปรก ชั่วร้าย คุณก็ต้องทำสิ่งที่ไม่สกปรก ไม่ชั่วร้ายโดยพรรคคุณ
-หากอนาคตเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าพรรค กับคดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ พรรคจะทำอย่างไร?
ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่แค่ธนาธร ไม่ใช่แค่ปิยบุตร ไม่ใช่แค่คน 2-3 คน ที่ผ่านมาไม่แปลกอะไรที่ชื่อธนาธรจะเด่นที่สุด ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ตอนช่วงเลือกตั้ง เราถึงได้บอกว่าหลังเลือกตั้งจากนี้ต้องทำพรรคให้เป็นสถาบัน พรรคอนาคตใหม่มีกรรมการบริหารพรรคสิบกว่าคน มี ส.ส. 81 คน มีทีมจังหวัด 77 จังหวัด มีสมาชิกพรรค 5 หมื่นคน การที่จะถือว่าไม่มีคนคน เดียวแล้วพรรคจะล้ม ช่อเชื่อว่าคงจะดูถูกพลังของสมาชิกพรรคห้าหมื่นคน หรือแม้แต่คน 6 ล้าน 3 แสนคนที่เลือกพรรคอนาคตใหม่มากเกินไป
พรรณิการ์-โฆษกพรรค อนค. กล่าวถึงการตั้งพรรคที่ผ่านมาได้หนึ่งปีกว่าว่า สิ่งที่แกนนำพรรคประเมินก็คือมีหลายเรื่องที่เราต้องแก้ไข แต่ด้วยความสำเร็จระดับนี้ที่ไม่ใช่แค่จำนวน ส.ส. 81 คน แต่ด้วยความสำเร็จที่เราพิสูจน์ตัวเองว่าเราหาเสียงโดยใช้นโยบาย ใช้เงินน้อยมาก ไม่ใช้ระบบอุปถัมภ์เก่าเลย แต่เราทำได้จริง เราเชื่อว่าอันนี้คือความสำเร็จที่สำคัญมาก
สองคือการปลุกคนให้กลับมาเชื่อมาสนใจการเมืองอีกครั้ง อันนี้เป็นความสำเร็จที่เรามองว่าน่าภาคภูมิใจ คงไม่ใช่แค่พรรคอนาคตใหม่พรรคเดียวที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น แต่เราถือว่าอย่างน้อยการที่มีพรรคอนาคตใหม่เข้ามาในแวดวงการเมือง ก็ทำให้คนสนใจและเชื่อถือศรัทธาในนักการเมืองในระบอบรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง
แต่ในเรื่องที่พรรคต้องปรับปรุงยังมีอีกเยอะ อย่างเช่นในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเราใช้ตัวบุคคลเป็นหลัก เพราะการสร้างพรรคในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้งมันทำไม่ทันจริงๆ แต่หลังจากนี้ไปเราต้องพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนแค่ 2-3 คน แต่เป็นพรรคที่มีบุคลากรเยอะ ส.ส.ของเรา 81 คนมีความรู้ความเชี่ยวชาญทุกคน มีการอภิปรายได้อย่างมีคุณภาพ ทีมจังหวัดทำงานได้ ดูแลคนในพื้นที่ได้ พรรคอนาคตใหม่คือสถาบัน อันนี้คืองานที่พรรคต้องพิสูจน์ตัวเอง รวมถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย เมื่อเราเขย่าระดับชาติมาแล้ว เราต้องเขย่าท้องถิ่นได้ด้วย
ถามถึงเสียงวิจารณ์ที่คนมองกันว่า อนาคตใหม่ได้คะแนนมาแบบกระแสชั่ววูบ หรือคะแนนบางส่วนได้เพราะไทยรักษาชาติที่ถูกยุบพรรคเทคะแนนมาให้ ช่อ-พรรณิการ์ ตอบว่า ถ้าจะบอกว่าเป็นแค่กระแสชั่ววูบ แต่ว่าตั้งแต่เราเปิดตัวพรรคมาถึงตอนนี้ก็ปีกว่า ซึ่งปีกว่าจะเรียกว่ากระแสชั่ววูบก็คงยาก ช่วงที่พรรคเป็นที่รู้จักได้รับการตอบรับจริงๆ ก็ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ที่มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสในโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะทางบวกหรือทางลบ มีผลทำให้คนรู้จักสนใจพรรคมากขึ้น แต่เมื่อคนสนใจเราจากกระแสแล้ว เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเรามีเนื้อหาสาระจนทำให้เขาสนใจเราต่อไป และการที่พรรคยังอยู่ในความสนใจของประชาชนมาถึงตอนนี้ เราก็เชื่อว่าประชาชนเขาได้เห็นแล้วว่าไม่ได้มีแค่กระแส แต่เรามีเนื้อหาสาระมีแก่นสารที่เขาสามารถเชื่อถือศรัทธาได้
-ช่วงหาเสียงเลือกตั้งพรรคมีจุดขายเรื่องการต่อต้าน คสช. การสืบทอดอำนาจ แต่เมื่อวันนี้ ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ มีรัฐบาลแล้ว หลังจากนี้พรรคจะมีจุดขายอะไรอีก?
การเมืองไทยเวลานี้คิดว่าห่างไกลมากกับคำว่ากลับสู่ภาวะปกติ เราผ่านพ้นยุค คสช.มาในฐานะที่คสช.เป็นสถาบัน แต่เรากำลังเข้าสู่ยุค คสช.ที่เป็นระบอบ โดยระบอบ คสช.ยังคงอยู่ โดยอยู่ผ่านการตั้งองค์กรอิสระทิ้งค้างเอาไว้ มีวาระต่อเนื่องไปอีกหลายปี และผ่านการร่างรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจกับองค์กรที่ตัวเองตั้งไว้อย่างเต็มที่ รวมถึงผ่านกลไก ส.ว.
สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบอบ คสช.ยังคงอยู่กับเรา เราจะดีใจถ้าจุดขายของเราด้านการต้านเผด็จการใช้ไม่ได้แล้ว เพราะแสดงว่าประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว เราจะดีใจมาก แต่มันยังไปไม่ถึงจุดนั้น ยังต้องสู้กันอีกเยอะ และเราเชื่อว่ารัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบค่อนใบแบบนี้ จะยิ่งทำให้ประชาชนเห็นว่ายังจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง แน่นอนการเลือกตั้งสำคัญและต้องมี แต่ยังไม่ใช่คำตอบของประเทศ ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งเสร็จแล้วจบ ยังมีงานต้องทำอีกเยอะ เป็นการเดินทางระยะยาว เป็นมาราธอน
-หนึ่งปีของพรรคอนาคตใหม่เจออุปสรรค คอขวดอะไรที่ทำให้คิดว่าพรรคยังไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้?
คอขวดที่สำคัญก็คงเป็นกฎหมายที่ คสช.วางไว้ เอาง่ายๆ ตั้งแต่ตั้งพรรคมีปัญหาหมด เช่นการสมัครสมาชิกพรรค การระดมทุน ทุกอย่างกฎหมายกำหนดไว้อย่างยากลำบาก เช่นเราตั้งใจระดมทุนจากประชาชนให้มากที่สุดโดยการขายของออนไลน์ แต่ กกต.ก็บอกว่าทำไม่ได้ หรือการบริจาคเงินผ่านออนไลน์ หักเงินจากบัตรเครดิตก็ทำไม่ได้อีก ทุกอย่างมันยากไปหมด การสมัครสมาชิกพรรคก็มีขั้นตอนยุ่งยากไปหมด มันไม่ได้เปิดให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนได้อย่างที่ กกต.พูดไว้ เราจึงเชื่อว่าคอขวดสำคัญก็คือกฎหมายต่างๆ ที่ไม่ได้สอดคล้องกับโลกยุคดิจิตอล ทั้งการระดมทุนและการสมัครสมาชิกพรรค และยังมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีการเลือกปฏิบัติมากมาย ทำให้หนึ่งปีที่ผ่านมาพรรคไม่ได้มีแค่ ส.ส.เยอะ แต่คดีความก็เยอะด้วย ที่น่าจะมากที่สุดแล้วในบรรดาทุกพรรคการเมือง ซึ่งก็ไม่ได้แปลกใจเพราะเราชนกับผู้มีอำนาจ เราก็รู้ว่าเขามีกฎหมายในมือ เราโดนคดีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เราไม่ได้กังวลเพียงแต่ทำให้เราต้องเสียเวลา เสียพลังงานกับการต้องมาคอยรับมือกับเรื่องแบบนี้.
.......................................
เดินหน้าล้างมรดก คสช. ลุยปักธงท้องถิ่น หวังคว้าชัยผู้ว่าฯ กทม.
กับบทบาทการเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่มีหน้าที่หลักคือการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายรัฐบาล พรรณิการ์-โฆษกพรรค อนค. กล่าวถึงการขับเคลื่อนของพรรคต่อจากนี้ว่า สิ่งที่จะขับเคลื่อนต่อไปหลังจากนี้มีในสามด้านหลักๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้านก็จะทำเหมือนกัน เพียงแต่ต้องยอมรับว่า IMPACT อาจมีความแตกต่าง
1.งานในสภาฯ
การที่พรรคอนาคตใหม่มี ส.ส.ในสภาฯ 81 เสียง ก็ทำให้การทำงานของ ส.ส.พรรคในคณะกรรมาธิการสามัญชุดต่างๆ มีมากพอสมควร รวมถึงบทบาทในการตั้งกระทู้ถาม การยื่นญัตติด่วนต่างๆ ต่อที่ประชุมสภาฯ อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.ของพรรคเสนอให้มีการตั้งคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาเรื่องผลกระทบที่เกิดจากคำสั่งของ คสช.โดยเฉพาะผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน นโยบายที่พรรคหาเสียงไว้ก็เพื่อให้มีการตั้งตรวจสอบแยกแยะและยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน ส่วนอะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์ก็อนุวัตเป็นกฎหมายปกติ เพราะไม่ต้องการให้มีร่องรอย-มรดกของการรัฐประหารหลงเหลืออยู่
...จะเป็นจุดเริ่มต้นของการล้างมรดก คสช.โดยจะมีการตรวจสอบผลกระทบก่อนเป็นเบื้องต้น ถ้าตั้งกมธ.ได้สำเร็จ ตรวจสอบผลกระทบจนมีรายงานออกมาว่ามีผลกระทบเกิดขึ้นจริง ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว เมื่อมีรายงานจากคณะ กมธ.ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแยกแยะคำสั่ง คสช.ที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษกับประชาชน เรื่องใดเป็นประโยชน์ก็อนุวัตเป็นกฎหมายปกติ เรื่องใดที่เป็นโทษแค่ยกเลิกยังไม่พอ ต้องมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย กรณีดังกล่าวคือตัวอย่างของการทำงานในสภาฯ ของพรรคอนาคตใหม่ ไม่นับการยื่นญัตติ กระทู้อภิปรายทั่วไป ที่หลังจากนี้ก็จะมีมาเรื่อยๆ
...โดยเฉพาะการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ... ที่พรรคเตรียมงานไว้แน่น ก็ขอให้รอดู จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นซึ่งจะเป็นงานใหญ่ โดยเราจะชำแหละให้เห็นว่ามีการใช้งบประมาณเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร แต่เวลาพูดเรื่องการตรวจสอบรัฐบาล เราก็ยืนยันมาตลอดว่าพรรคก็ไม่อยากทำงานแบบค้านตะพึดตะพือ คืออะไรที่เป็นของรัฐบาลจะต้องค้านให้หมด ยังไงเราก็อยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีกับประชาชน ต่อให้เป็นเรื่องที่มาจากพรรคพลังประชารัฐ เป็นของรัฐบาล เราก็จะสนับสนุน แต่ถ้าเกิดผลกระทบกับประชาชน ใช้ภาษีประชาชนอย่างไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ มีร่องรอยของการทุจริตคอร์รัปชัน อันนี้ก็ทำงานเต็มที่
2.งานขยายเครือข่ายและสร้างความเข้มแข็งให้โครงสร้างพรรค
หนึ่งปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งปีที่เกิดเหตุการณ์เยอะมาก พรรคเติบโตเร็ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำวิจารณ์หลายอย่างเกี่ยวกับพรรคเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยังยึดติดตัวบุคคลมากกว่าตัวพรรค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครือข่ายจังหวัด ก็ยังประสานงานทำงานกันยังไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไหร่ ก็เป็นปัญหาที่เรา
ต้องยอมรับว่าหนึ่งปีเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากสำหรับการก่อตั้งพรรคการเมือง พรรคเข้าสู่การเลือกตั้งเมื่อมีนาคมที่ผ่านมา โดยที่เพิ่งตั้งพรรคได้ประมาณ 7-8 เดือน ดังนั้นหลังเลือกตั้งเราก็คิดว่าจะเป็นช่วงที่พรรคจะใช้เวลาในการสร้างความเข้มแข็ง ทำให้พรรคเป็นสถาบันมากยิ่งขึ้น โดยเครือข่ายระดับจังหวัดของพรรคจะต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น หลังจากนี้ก็จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าจังหวัดใหม่ และจะมีการจัดโครงสร้างภายในให้แข็งแรง ขยายฐานสมาชิก ระดมทุน
นอกจากเรื่องเงินแล้ว ก็คือการทำให้เป็น พรรคมวลชน ซึ่งตอนนี้พรรคมีสมาชิกประมาณห้าหมื่นคน ที่ก็ยังไม่สามารถเรียกว่าเป็นพรรคมวลชนได้ จึงต้องขยายฐานให้กว้างขวางมากกว่านี้ รวมถึงการที่พรรคจะต้องทำงานกับภาคประชาสังคมต่างๆ ด้วย เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อม เราก็จะพยายามไปคุยกับเขาให้มากขึ้น เพื่อให้เขาช่วยเป็นเครือข่ายที่จะส่งเสริมการทำงานการเมืองของเรา
3.การทำงานการเมืองท้องถิ่น
โดยการทำงานในสภาฯ งานสร้างเครือข่ายพรรคยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากเท่ากับการเมืองท้องถิ่น สิ่งนี้คือเหตุผลที่ทำให้คนสนใจเรื่องนี้มาก อีกส่วนหนึ่งก็คือ ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อนที่พรรคการเมืองพูดอย่างจริงจังว่าจะทำการเมืองท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาต่อให้เป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งท้องถิ่น พรรคต้นสังกัดก็จะไม่ค่อยออกตัว คืออาจรู้กันในทีว่าเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนี้ แต่ไม่ได้ส่งในนามพรรค
...แต่ว่าสำหรับพรรคอนาคตใหม่ เรามองการเมืองท้องถิ่นแตกต่างออกไปมาก ไม่ใช่เรื่องของการสร้างฐานหัวคะแนน ไม่ใช่เรื่องของการสร้างความนิยมในพื้นที่ เพื่อเป็นมือเป็นไม้เพื่อที่หากต่อไปมีการเลือกตั้งหาเสียงจะได้ทำงานได้ง่ายขึ้น สำหรับอนาคตใหม่ไม่ใช่แบบนั้น เพราะเมื่อนโยบายพรรคคือการ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือ ทำการเมืองท้องถิ่นให้เป็นการเมืองท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็ง หาเสียงด้วยนโยบาย และพรรคเรารู้ว่านโยบายที่พรรคหาเสียงไป เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่ ระดับโครงสร้างหมด จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าสิ่งที่เราได้หาเสียงไว้ทำได้จริง ทำให้เป็นรูปธรรมได้จริง
...พรรคอนาคตใหม่เราไม่ได้มีแต่นโยบายใหญ่อย่างการปฏิรูปกองทัพ การปฏิวัติการศึกษา เรื่องรัฐสวัสดิการ แต่นโยบายประเภทสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ ปัญหาที่ดินทำกินต่างๆ เหล่านี้ สามารถทำในการเมืองท้องถิ่นได้ในบางเรื่อง ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ก่อน การเมืองท้องถิ่นสำหรับเราจึงมีความสำคัญมากทั้งในแง่อุดมการณ์ และการพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนในพื้นที่ได้เห็นผลงาน
โฆษกพรรค อนค. กล่าวต่อไปว่า พอเราจะ Disrupt เขย่าการเมืองท้องถิ่นแบบที่พรรคได้ทำกับการเลือกตั้งระดับชาติมาแล้ว พรรคพิจารณาแล้วว่าทำท้องถิ่นทั้ง 77 จังหวัด คือเวลาทำนโยบายใหญ่ระดับชาติ คุณมีนโยบายชุดเดียวสามารถนำไปหาเสียงได้ทั่วประเทศ แต่เวลาทำการเมืองท้องถิ่นแบบเน้นที่นโยบายที่เราคิดจะทำ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน คุณต้องออกแบบนโยบาย เช่น พัทยาก็ต้องเป็นนโยบายสำหรับพัทยา หรือเชียงใหม่ก็ต้องมีนโยบายสำหรับเชียงใหม่ มันจะไม่เหมือนกัน ปัญหาจะแตกต่างกัน
...หมายถึงว่าหากจะส่งคนลงเลือกตั้งท้องถิ่นครบทุกจังหวัด จะต้องมีชุดนโยบายใหญ่ๆ อย่างน้อย 77 ชุด ซึ่งพูดตรงๆ ด้วยทรัพยากรของพรรคเราตอนนี้ทำไม่ทัน ทำไม่ไหว
การเมืองท้องถิ่นที่คิดว่าเราจะเขย่าให้ได้สำเร็จ เราเน้นคุณภาพ ไม่ได้เน้นปริมาณ ไม่ได้คิดจะส่งคนลงเลือกตั้งครบทั้ง 77 จังหวัด แต่จะเน้นในพื้นที่ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ พื้นที่ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของเรา เช่นอย่างพื้นที่ภาคตะวันออก รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือ, อีสาน, กลาง, ใต้ ก็คิดว่าจะส่งให้ครบ
โฆษกพรรค อนค. ย้ำว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นเป็นเรื่องที่เราจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในระดับต่างๆ ทั้ง อบจ., อบต., เทศบาล รวมถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็เป็นเรื่องที่เราจริงจัง
...อย่าลืมว่าในสมรภูมิเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่ได้คะแนนรวม popular vote มากที่สุดในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา ใน 6 ล้าน 3 แสนเสียงที่พรรคได้รับ พบว่าหนึ่งล้านคะแนนมาจากกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นชัดเจน แน่นอนว่าคนกรุงเทพฯ ฝากความหวังไว้ที่พรรคอนาคตใหม่เยอะ แต่ว่าการตัดสินใจเลือกรัฐบาลระดับชาติกับเลือกผู้ว่าฯ กทม.เป็นคนละตรรกะ-เหตุผลกันในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะส่งคนลงสมัคร สิ่งสำคัญมากก็คือ เราแบกภาระยิ่งใหญ่ก็คือ เราแบก popular vote มากที่สุดในกรุงเทพฯ ความกดดันก็ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นคุณสมบัติของผู้ที่จะมาลงที่เหมาะสม พรรคก็ต้องพิจารณาเยอะ นโยบายที่จะสอดรับกับความต้องการของคนกรุงเทพฯ ก็ต้องไม่ลืมว่าคนกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่ชนชั้นกลางในเมือง คนในชุมชนต่างๆ ก็มีอยู่เยอะ กรุงเทพฯ จึงไม่ใช่พื้นที่ซึ่งง่าย เป็นความท้าทาย แต่ถามว่าเราจริงจังหรือไม่กับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็ต้องบอกว่าอนาคตใหม่เราจริงจัง
ยุทธศาสตร์ของอนาคตใหม่ในการทำการเมืองท้องถิ่น อย่างเรื่องนโยบายหลักก็ไม่ใช่นโยบายที่มาจากเราที่คิดเองเออเอง อยู่บนหอคอยงาช้าง อย่าง ELC (Eastern Life Corridor) ที่ก่อนหน้านี้ได้เคยพูดถึงไป ชัดเจนมากว่าจะเป็นโมเดลที่เราจะทำกับพื้นที่อื่นๆ ด้วย มีการฟอร์มนโยบายขึ้นมา ฟังจากประชาชน คือทำในรูปแบบตั้งเวทีรับฟังคนในพื้นที่ว่าเขาอยากได้เมืองเขาเป็นแบบไหน อยากได้เมืองเชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี พัทยา แบบไหน แล้วพรรคก็จะให้คนที่จะลงเลือกตั้งท้องถิ่น นำข้อมูลจากตรงนี้ไปทำชุดนโยบายวิสัยทัศน์มา โดยพรรคจะมีคณะกรรมการพิจารณาเพื่อหาทีมที่เหมาะสมในการส่งลงเลือกตั้ง ซึ่งไม่เคยมีพรรคการเมืองใดทำแบบนี้มาก่อน คือใช้นโยบาย วิสัยทัศน์ การพัฒนาที่เป็นรูปธรรม
...หากใครจะลงในนามพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่หอบเงินมาแล้วบอกว่าผมจะลง แบบนี้ไม่ได้ แต่ต้องมีวิสัยทัศน์มาแสดงว่าอยากเห็นเมืองคุณพัฒนาไปแบบไหน จะจัดการเรื่องระบบคมนาคม การจัดการขยะ เรื่องที่ดินทำกินทำอย่างไร แล้วนำสิ่งนั้นไปหาเสียง “เราเชื่อว่านี่จะเป็นการเขย่าการเมืองท้องถิ่นครั้งใหญ่ของประเทศไทย”
...ซึ่งหากทำสำเร็จเพียงแค่ 10-20 แห่ง ก็จะเป็นโมเดลให้เกิดการทำแบบนี้อีกเรื่อยๆ ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ซึ่งหากพรรคการเมืองอื่นจะทำแบบนี้ด้วย เราก็ยินดี เพราะเป็นการแข่งขันที่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนถามว่าจะสำเร็จไหม มันก็เหมือนกับที่ทุกคนตั้งคำถามกับเราในช่วงการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา พูดตรงๆ ก็คือไม่ทราบหรอก เพราะเป็นเรื่องของอนาคตว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลง ทำการเมืองท้องถิ่นให้เป็นการเมืองที่ว่ากันด้วยนโยบายจริงๆ มันก็ต้องเลือกเปลี่ยนที่เรา เพราะไม่มีพรรคอื่นทำ พรรคเราจะทำ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สำเร็จมากหรือน้อย ก็จะพิสูจน์ให้เห็นกันในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้น
-การเลือกตั้งท้องถิ่นยังมีเรื่องของระบบอุปถัมภ์ หัวคะแนน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ พรรคจะใช้โซเชียลมีเดียในการหาเสียงเหมือนเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่?
ตอนที่เราทำการเมืองระดับชาติทุกคนก็ถามเราแบบนี้ พรรคการเมืองที่ไม่มีหัวคะแนนเลย ไม่มีฐาน ส.ส.เก่า แล้วจะชนะการเลือกตั้งในประเทศไทยได้อย่างไร พรรคเราก็ทำให้เห็นมาแล้ว ที่คน 6 ล้าน 3 แสนคนเลือกอนาคตใหม่ โดยที่ไม่มีฐานเสียงเก่า ไม่มีระบบอุปถัมภ์ ไม่มีหัวคะแนนเลย ก็ทำได้มาแล้ว แน่นอนว่าการเลือกตั้งท้องถิ่นอาจจะยากกว่า เพราะเครือข่ายอุปถัมภ์แนบแน่นใกล้ชิดกว่าการเมืองระดับชาติ แต่ถ้าไม่เริ่มทำเราก็จะไม่เห็นการเมืองท้องถิ่นที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนจริงๆ.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร
ศิริรัตน์ บุรินทร์กุล
............................
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |