จากปฏิรูป...ถึงปฏิลูบ


เพิ่มเพื่อน    

    ยังคงสรุปลำบาก...ว่าระหว่าง “ตำรวจ” กับ “พระ” ในช่วงระหว่างนี้ ใครงานเข้า เสาร์เช็กบิล ใครที่ต้องเจอกับเจ้ากรรม-นายเวร มากกว่าใคร เท่าที่นับนิ้ว นับงาน น่าจะเป็นไปอย่างที่ “ป๋าเปลว สีเงิน” ท่านประมาณการไว้เมื่อสองวันก่อนนั่นแหละว่า อาจต้องตัดสินกันด้วยภาพถ่าย ว่าหน้าใคร จมูกใคร หัวนมใคร แตะเส้นชัยก่อนกัน...
                                   -----------------------------------------------
    แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ทั้ง “ตำรวจ” ทั้ง “พระ” นั่นแหละ ที่ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ว่า ต่างถือเป็นกลุ่มคน กลุ่มอาชีพ ที่มีบทบาทเอามากๆ ในการชี้วัดตัดสินว่าใครจะ “นอนมา-ไม่นอนมา” สำหรับ “การเลือกตั้งที่รัก” ไม่ว่านับตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าปีหน้าหรือปีไหน คือถ้าหาก “ตำรวจ” เกิดศรศิลป์ไม่กินกับใคร หรือกับพรรคการเมืองใด ขึ้นมาซะอย่าง โอกาสที่นักการเมืองรายนั้น หรือพรรคการเมืองพรรคนั้น จะนอนมาโดยมีพระนำหน้า สวดบังสุกุล แล้วเผาจริงรวดเดียว โดยไม่ต้องเสียเวลาเผาหลอก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
                                    -------------------------------------------------
    ไม่ต่างไปจาก “พระ” เช่นกัน...แม้จะไม่มีอำนาจตามธรรมชาติ ในการจับกุมคุมขัง สกัดกระสุน ยิงกระสุน ล็อกหัวคะแนน ปิดล้อมหมู่บ้าน ในช่วงคืนหมาหอน หรือหมาไม่หอน ได้เหมือนอย่าง “ตำรวจ” แต่โดยอำนาจเหนือธรรมชาติ ที่เกิดจากความเลื่อมใส ศรัทธา ไม่ว่าผ่านการดูดวง ให้หวย พ่นน้ำหมาก พรากน้ำมนต์ เสกหนังหมา หนังควายเข้าท้อง ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ต้องถือว่า “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับสังคม 4.0 ในทางวัตถุ แต่ 0.4 ในทางจิตใจ อย่างเช่นสังคมไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา เป็นต้น...
                                    ---------------------------------------------------
    สำหรับ “ตำรวจ” นั้น...แม้ยุคก่อนๆ จะไม่ถึงกับชัดเจน มากมายซักเท่าไหร่ สำหรับการ “เอาใคร-ไม่เอาใคร” เนื่องจากขึ้นชื่อว่าตำรวจซะอย่างแล้ว ไม่ว่าใครก็ใคร ไม่ว่าพรรคการเมืองพรรคใด ถ้าหากสามารถย้ายสารวัตร ผู้กำกับ ผู้บังคับการ ผู้บัญชาการ ฯลฯ ได้คล่องๆ ตำรวจท่านก็ยินดีรับใช้ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่มายุคหลังๆ...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ทำให้ตำรวจไม่ว่าสายไหนต่อสายไหน เส้นไหนต่อเส้นไหน ออกจะเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกภาพพอสมควร ก็คือความรู้สึกไม่ค่อยพึงพอใจต่อใครก็ตามที่คิดจะ “ปฏิรูปตำรวจ” ไม่ว่าจะออกมาในรูปไหน แนวไหน ก็ตามที...
                              -------------------------------------------------------
    ด้วยความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตำรวจมะเขือเทศ” ขึ้นมาในยุคหลังๆ เกิดการแผ่ขยายกระจายตัว เกาะกลุ่ม เกาะก้อน ทั้งในหมู่ผู้ที่เกษียณแล้วและยังไม่เกษียณ จนบางครั้งบางครา แทบไม่ต่างไปจาก “ขบวนการ” ใต้ดิน-บนดินเอาเลยก็ว่าได้ จัดรายการพบปะ พูดคุย ชุมนุม กันอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะแถวๆ บ้านพักตากอากาศที่หัวหิน จนกลายเป็นกลุ่มก้อนอุดมการณ์ที่มีฤทธิ์ มีเดช เอาเรื่องพอสมควร เรียกว่า...ทำให้แม้แต่กระทั่ง “ทหาร” ย่อมไม่กล้าหักพร้าด้วยด้ามเข่าโดยเด็ดขาด ยิ่งถ้าเป็นทหารเกษียณแล้ว แบบพระอาจารย์ “บุญสร้าง” ยิ่งต้องหันมา “ปฏิลูบ” กันแทนที่ คือได้แต่ลูบแล้ว ลูบอีก ไม่อาจไปไหนต่อไหนได้เลยแม้จนตราบเท่าทุกวันนี้...
                              ------------------------------------------------------- 
    ส่วน “พระ” ก็ออกจะคล้ายๆ กันโดยมิได้นัดหมาย คือความรู้สึกไม่พอใจต่อใครก็ตามที่คิดจะไป “ปฏิรูปพระ” ยิ่งนานวันยิ่งแผ่ขยายกระจายตัว ซึมลึก แผ่ซ่านเข้าไปในวัดแต่ละวัด ไม่ว่าจะวัดมหานิกาย ธรรมยุติกนิกาย และโดยเฉพาะ “ธรรมกาย” ที่พร้อมสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “แก่นแกน” ในการคัดง้างกับใครก็ตามที่คิดจะปฏิรูปพระ แบบชนิดตั้งแต่ยอดไปจนถึงฐาน จนแทบกลายเป็นอุดมคติ อุดมการณ์ หรือเป็น “นิกาย” ขึ้นมาอีกนิกายไปแล้วก็ไม่แน่!!!
                                 -------------------------------------------------------- 
    ดังนั้น...ท่ามกลางบรรยากาศ “การเลือกตั้งที่รัก” ที่จะต้องมาถึงในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ใครก็ตามที่คิดจะไป “ปฏิรูปพระ” หรือ “ปฏิรูปตำรวจ” หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ย่อมต้องมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง มีแต่จะต้องเร่งหันมา “ลูบพระ” และ “ลูบตำรวจ” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างน้อย...ก็เพื่อไม่ให้ตัวเองต้อง “นอนมา” โดยมีพระเดินสวดบังสุกุลนำหน้า แถมมีตำรวจพร้อมชันสูตรพลิกศพเพื่อให้เผาได้โดยทันที ส่วนบรรดาการ “ปฏิรูป” ทั้งหลาย อันหมายถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง กันอย่างเป็นระบบ และอย่างเป็นกระบวนการนั้น ยังไงๆ...คงหนีไม่พ้นต้องรอไปประมาณชาติหน้า ตอนบ่ายสามโมงแก่ๆ นั่นแหละทั่นเอ๋ยย์ย์ย์...
                                ------------------------------------------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก “Myers”... “Life is like the peeling of an onion, One skin after another of self-deception do I strip off. In the process my eyes water and my vanity smarts.- ชีวิตเหมือนกับการลอกหัวหอม ข้าพเจ้าลอกเปลือกแห่งการหลอกตนเองและการเสแสร้งออกทีละชิ้นๆ ขณะน้ำตาข้าพเจ้าไหล...กิเลสก็เพิ่มพูน...”
                                 ---------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"