วิสัยทัศน์...มนุษย์แม่


เพิ่มเพื่อน    

 

      ไปเจอข้อความสั้นๆ ที่บอกว่า ..น่าแปลกนะ แม่เรียนน้อย บางคนแม่ไม่ได้เรียนเลย แต่ทำไมแม่มีความสามารถทำให้ลูกๆ เรียนจบปริญญาได้..

      มันโดนใจจนต้องร้องว่า ..จริงด้วย ใช่เลย!!

      เด็กๆ และเยาวชนที่เกิดมาในช่วง 20 ปีนี้อาจจะไม่เห็นหรือไม่รู้สึกว่ามันแปลกตรงไหน เพราะกฎหมายบังคับให้เด็กทุกคนต้องเข้าสู่ระบบโรงเรียน หรือเป็นภาคบังคับขั้นพื้นฐานว่าเด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่ามัธยมปีที่ 3 โดยรัฐให้เรียนฟรีในโรงเรียนของรัฐทั่วประเทศ

      แปลว่า พ่อแม่จะมีการศึกษาหรือเปล่า ยังไงก็ต้องส่งลูกๆ เข้าโรงเรียน ซึ่งเด็กๆ ก็จะมีความรู้อย่างน้อยก็เดินไปสู่เส้นทางตามความสามารถ และโอกาสที่อำนวยได้

      แต่ย้อนระลึกไปถึงมนุษย์ป้ายังเป็นเด็ก ..ขอบอกว่า ไม่มีหรอกนะคะ ภาคบังคับแบบนี้ มีแต่ "วิสัยทัศน์" ของพ่อแม่ ผู้ปกครองล้วนๆ เลยค่ะ ที่จะวางแผนว่าอยากให้ลูกเรียนหนังสือหรือเปล่า

      ยิ่งเป็นลูกผู้หญิงด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่า ความคิดความอ่านของพ่อแม่นั้น มีนัยสำคัญมากที่สุดต่ออนาคตการศึกษาของเด็กในยุค 2500 ลงไป

      รับรองว่า ลูกหลานยุคดิจิตอลที่มีเครื่องมือในการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ และจอสี่เหลี่ยมของไอแพดและสมาร์ทโฟนนั้น จินตนาการไปไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะพ่อแม่ยุคโน้น ซึ่งอาจจะหมายถึงคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายในยุคนี้นั้น น้อยนักที่จะมีการศึกษา ถ้าหากไม่ใช่ลูกคหบดี 

      แม้แต่ลูกพ่อค้าวานิช บางครอบครัว คนเป็นลูกสาวก็อาจจะไม่มีสิทธิ์ไปโรงเรียนด้วยซ้ำ ถ้าหากพวกเขาคิดตามสมัยนิยมว่า ผู้หญิงเรียนหนังสือแล้วได้อะไร เดี๋ยวก็ต้องแต่งงานไปมีลูกมีผัวแล้ว การอยู่กับบ้านแล้วเรียนการบ้านการเรือน เป็นแม่ศรีเรือนนั่นแหละดีที่สุดแล้ว

      โชคดีของมนุษย์ป้าค่ะ ที่อาม่ามีวิสัยทัศน์มากๆ คือ ยากจนแค่ไหน หาเช้ากินค่ำอย่างไร ลูกต้องไปเรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่อาม่าหอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากซัวเถา ภาษาไทยสักตัวก็อ่านไม่ออกและพูดไม่ได้

      อาม่ามั่นคงในความคิดที่ว่า คนเราต้องมีการศึกษาเท่านั้น จึงจะพ้นจากความยากจนได้

      เมื่อวางนโยบายในการเลี้ยงลูก 7คนแบบนี้ ทุกคนจึงได้ร่ำเรียนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายอย่างน้อยก็จบชั้นประถมปีที่ 4 หลังจากนั้นก็มีคำประกาศิตออกมาอย่างเป็นทางการของอาม่าว่า จาก ป.4 ถ้าใครสอบเข้าโรงเรียนรัฐได้ ก็จะได้เรียนต่อ แต่ถ้าไม่สามารถ ก็ต้องออกมาทำมาหากิน

      มองย้อนหลังกลับไปกับวิธีคิดวิธีทำของมนุษย์แม่จากซัวเถาแล้ว จะไม่เรียกว่ามีวิสัยทัศน์ได้อย่างไร เพราะถ้าผลการเรียนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สะท้อนบอกประการหนึ่งว่า สมองลูกไปไม่ไหว หรือไม่ก็ตัวลูกเองไม่ชอบที่จะเรียนหนังสือ จะไปมัวเคี่ยวเข็ญให้เสียเวลาทำไม

      ให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกที่จะเดิน ..ยังไงๆ ก็ใช้ได้ทุกยุค..จริงๆ นะคะ.

                                                                                "ป้าเอง"


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"