28 มิ.ย.62 - นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว). โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคลี่คลายวิกฤติศรัทธาประชาชนเรื่องส.ส , ส.ว ถูกร้องถือหุ้นสื่อมวลชนครับ
คำวินิจัยศาลรัฐธรรมนูญ
ในเรื่องที่ 41 ส.ส.ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อ โดยศาลได้พิจารณายกคำร้อง 9 ส.ส และรับไว้ไต่สวนเพิ่มเติม 32 รายนั้น เป็นผลดีต่อความสงสัยเคลือบแคลงในการถูกข้อกล่าวหาว่าส.สทั้งฝ่ายรัฐบาล 41 คน ฝ่ายค้าน 55 คนรวมถึงส.ว 21 คนนั้นจะมีลักษณะต้องห้ามขัดรัฐธรรมนูญจริงตามที่มีการร้องกันไปมาหรือไม่
คงจะปรากฎคลี่คลายในเร็ววันดังนี้ครับ
1) กลุ่มส.สฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านและส.ว ที่ถูกร้องตามวัตถุประสงค์มาตราฐานข้อ17นั้น ชัดเจนครับว่ามิใช่เป็นการถือหุ้นสื่อสารมวลชน เป็นเพียงการจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนสิ่งพิมพ์หนังสือหนังสือพิมพ์ไม่ใช่ผู้ผลิตเนื้อหาข่าวสารหนังสือพิมพ์แต่ประการใด
กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง 7 ส.สแล้ว มีผลผูกพันทุกองค์กร กกต.ที่รับเรื่องร้องไว้แล้ว ก็ต้องยกคำร้องส.สและส.ว ที่จดทะเบียนวัตถุประสงค์ข้อ 17 นี้ตามกันทุกคนครับ
2)กลุ่มส.สรัฐบาลฝ่ายค้านและส.วที่ถูกร้องเรียนตามวัตถุประสงค์ข้อ 32 และข้อ 43 ว่าประกอบกิจการสื่อเช่นโรงพิมพ์ ออกหรังสือพิมพ์ ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ รับจัดทำสื่อโฆษณา และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกประเภทนั้น
กรณีนี้วัตถุประสงค์เป็นสื่อมวลชนแน่นอนครับ
ส่วนการประกอบกิจารจริงๆหรือไม่นั้น สามารถที่จะยื่นเอกสารชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ถ้าเป็นการยื่นจดทะเบียนบรัษัททั่วไปประกอบกิจการอื่นเช่นทำโรงเรียน โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ โรงพยาลคลีนิค รับเหมาก่อสร้างเป็นต้น เป็นเพียงกาาจดทะเบียนตามแบบฟอร์มของกระทรวงพาณิชย์ทั่วไปและมิได้ประกอบกิจการใดๆเกี่ยวกับสื่อมวลชนเลย ก็สามารถนำเอกสารงบดุลประจำปีย้อนหลังหลายๆปีไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งมั่นใจครับว่าศาลรัฐธรรมนูญท่านจะให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง โดยพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาแน่นอน และเชื่อว่าหากไม่มีการประกอบกิจการมาเลยชัดเจน ก็จะวินิจฉัยว่าไม่มีความผิดครับ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร กกตที่จะต้องพิจารณาไต่สวนก็จะพิจารณาเช่นเดียวกันครับ
3)กรณีของนายธนาธรที่ กกต.มีมติเอกฉันท์ว่าขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการถือหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียและให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ก็จะชัดเจนในเร็ววันนี้เช่นกัน
แต่ผลจะแตกต่างกันเพราะชัดเจนว่านายธนาธรถือหุ้นในบริษัทวีลัคที่ประกอบกิจการสื่อแน่นอน100% เพราะมีหลักฐานรายรับรายจ่ายในงบดุลในการผลิตนิตยสาร WhoนิตยสารJIB JIB และอื่นๆ
เฉพาะกรณีของนายธนาธรจึงเหลือทางสู้เพียงประเด็นเดียวว่าการโอนหุ้นวันที่อ้างนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะเชื่อหรือไม่ว่าได้โอนกันจริงก่อนวันสมัครสส.หรือเป็นการโอนหุ้นย้อนหลัง และคำวินิจฉัยจะออกมาชัดเจนตรงไปตรงมาแน่นอนไม่นานนี้ครับ
แต่ว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญและเชื่อว่ามีการโอนหุ้นย้อนหลัง คงต้องตามดูคดีอาญาที่จะตามมา และวันนั้นคงมีคนติดคุกติดตารางเสียอนาคตการเมืองใหม่กันหลายคน
รอดูครับ เร็วๆนี้ไม่นานเกินรอ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |