วันก่อนผมถามอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศท่านหนึ่ง ว่าทำไมไม่เห็นนักการเมืองพรรคต่างๆ แย่งตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศกันเลย?
เห็นมีแต่ยื้อแย่งกระทรวงเกษตรฯ, พลังงาน, พาณิชย์ และคมนาคม
ท่านตอบทันทีว่า "ก็เพราะกระทรวงต่างประเทศไม่มีงบสำหรับโครงการใหญ่ๆ อะไร ไม่เหมือนกระทรวงเศรษฐกิจที่มีโครงการยักษ์มากมาย"
ผมแย้งว่ากระทรวงต่างประเทศมีความสำคัญมากเพราะเป็นหน้าตาของประเทศ เป็นหน่วยงานที่ต้องแสดงความเป็นผู้นำด้านการทูตและวิสัยทัศน์ของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ
ท่านบอกว่า "ก็นั่นน่ะซิครับ"
ที่สหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศอยู่ในลำดับต้นๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐ เรียงลำดับตามนี้คือ ประธานาธิบดี, รองประธานาธิบดี, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ประธานวุฒิสภา, จากนั้นก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศ
แต่ของประเทศไทยนั้นรัฐมนตรีต่างประเทศถูกมองว่าอยู่เกรดบีหรือซีด้วยซ้ำไป
นั่นย่อมแปลว่านักการเมืองแย่งกระทรวงที่มี "โครงการใหญ่ๆ" เพราะมีโอกาสได้ประโยชน์จากการนั่งกระทรวงนั้นๆ กระนั้นหรือ
เพราะถ้าหากพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะรับใช้ประชาชนจริง ก็ควรจะต้องมีความเห็นพ้องกันว่าทุกกระทรวงล้วนมีความสำคัญเท่ากัน
วันก่อนผมเห็น ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เขียนในเฟซบุ๊กน่าสนใจว่า
กระทรวงเกรด A ที่นักการเมืองแบ่งสรรกันอยู่ ไม่ได้แปลว่าต้องมีงบประมาณมากเท่านั้น
เห็นได้จากกระทรวงศึกษาฯ ที่มีงบประมาณสูงสุดแต่ไม่เป็นที่สนใจ เพราะที่เขาต้องการคือกระทรวงที่ทำให้มี "โอกาส" ได้สิ่งเหล่านี้มากที่สุด
1."ร่ำรวย" อาจได้โดยตรงจากโครงการที่ลงทุน หรือทำให้ธุรกิจของตนได้งาน ได้เงิน
2."คะแนนนิยม" จากการออกนโยบายรัฐหรือทำโครงการที่โดนใจฐานเสียง บางครั้งอาจใช้บทบาทอำนาจ ใช้เจ้าหน้าที่และงบประมาณหลวงไปทำสิ่งไม่ถูกต้องก็มี
3."อำนาจ" จากการคุมกลไกรัฐ โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ มหาดไทย และคลัง
4."ดูแลพวกพ้อง" ให้ได้ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ
คุณมานะบอกว่ากระทรวงพลังงานและอุตสาหกรรมเป็นสองกระทรวงที่มีงบประมาณน้อยที่สุด แต่เป็นที่หมายปองที่สุด เพราะมีอำนาจมากแถมยังมีรัฐวิสาหกิจใหญ่ เงินเยอะอยู่ในมืออย่าง ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ชาติของเราคงเจริญกว่านี้ถ้านักการเมืองหันมาพูดว่า
"อยากบริหารงานกระทรวงที่สร้างอนาคตให้ประเทศได้มากที่สุด"
แต่คงยาก เพราะบ้านเราแม้จะมีนักการเมืองที่ตั้งใจสร้างผลงานเพื่อแผ่นดินอยู่บ้าง แต่น้อยนักที่คนดีจะมีโอกาสได้ใช้ความรู้ความสามารถบริหารบ้านเมือง
อีกทั้งถ้าพิจารณานักการเมืองแต่ละพรรคที่ส่งคนของตนไปเป็นรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วย ก็จะเกิดความสงสัยว่าเขาพิจารณาคุณสมบัติของคนที่ส่งไปนั้นบนพื้นฐานอะไร
หลายคนที่ถูกส่งไปเป็นรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยไม่ได้มีประสบการณ์หรือเคยแสดงความสามารถด้านนั้นๆ แต่อย่างใด
บางคนได้ตำแหน่งเพราะเป็นนายทุนพรรค
บางคนได้ตำแหน่งเพราะเป็นคนของเจ้าของพรรค
บางคนได้ตำแหน่งเพราะมี ส.ส.อยู่ในสังกัดจำนวนหนึ่ง
บางคนได้ตำแหน่งเพราะมีบุญคุณกับเจ้าของพรรค
น้อยคนจะได้ตำแหน่งเพราะมีประสบการณ์หรือความรู้ความสามารถด้านนั้นจริงๆ
จึงเกิดการแบ่ง "เกรด" กระทรวงเป็น A, B, C ตาม "โอกาสที่จะหาประโยชน์และสร้างบารมี" ได้
การเมืองแบบเก่าเช่นนี้ยังมีให้เห็นในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า "ปฏิรูปการเมือง" ที่ คสช.รับปากตั้งแต่ทำรัฐประหารมาเมื่อ 5 ปีก่อนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
และคำมั่นสัญญาจะปราบคอร์รัปชันของรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าก็เป็นเพียงการรับปากลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีความหมายทางปฏิบัติแต่อย่างใด.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |