พอโฆษกรัฐบาลบอกว่านายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชาแนะนำให้คนไทยอ่านหนังสือ The Animal Farm ของนักเขียนอังกฤษ George Orwell ผู้คนในประเทศไทยก็มีอาการงุนงงกันไปทั่ว
เพราะคนเขียนต้องการประชดประชันระบบเผด็จการ และคนจำนวนไม่น้อยในประเทศนี้ก็ใช้คำว่า "เผด็จการ" เรียกขานระบบของ คสช.อยู่
ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายจากนายกฯ ประยุทธ์เอง มีแต่การตีความไปต่างๆ นานาที่ยังขาดความกระจ่างแจ้ง
แต่ไหนๆ ก็มีการเอ่ยถึงหนังสือของนักเขียนคนนี้แล้ว ก็ต้องพูดถึงหนังสือเล่มที่ดังไม่น้อยไปกว่า Animal Farm นั่นคือหนังสือชื่อ "1984"
ซึ่งเป็นนิยายกระทบกระแทกเผด็จการอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
สมควรที่คนไทยจะต้องอ่านไปพร้อมๆ กับ Animal Farm กันเลยทีเดียว
ปีนี้ครบ 70 ปีของการตีพิมพ์ "1984"
ใครที่ได้อ่าน "1984" จะต้องคุ้นกับศัพท์แสงหลายวลีที่บางคนอาจจะคิดว่ามีความคุ้นๆ กับการเมืองไทยวันนี้ เช่น
ความคิดสองชุดที่ขัดแย้งกัน (doublethink)
การสร้างภาษาใหม่ (newspeak)
ตำรวจควบคุมทางความคิด (Thought Police)
กระทรวงความรัก (Ministry of Love) ที่มุ่งสร้างความสิ้นหวังและจ้องทำลายล้างผู้ที่เห็นต่าง
กระทรวงสันติภาพ (Ministry of Peace) ที่พุ่งเป้าไปที่การทำสงคราม และจักรกลผลิต อีกทั้งยังสร้างนิยายประโลมโลกและเรื่องลามก เพื่อชี้นำและครอบงำความคิดของผู้คนในสังคม
นิยายเล่มนี้ที่ตีพิมพ์เมื่อ 8 มิถุนายน 1949 มีเค้าเรื่องให้ตัวเอกของเรื่องเป็นเจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ของ "กระทรวงความจริง (Ministry of Truth)" มีหน้าที่ดัดแปลงแก้ไขเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสถานภาพของพันธมิตรที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
และตัวละครสำคัญที่สุดเห็นจะเป็น Big Brother หรือ "พี่เบิ้ม" ที่มีวิธีการสอดแนมทุกหนทุกแห่ง
วิธีการควบคุมประชาชนให้อยู่ภายใต้การบริหารของผู้นำประเทศ นั่นคือการปลุกระดมความคิดของคนหมู่มากโดยอาศัยกลไกการโฆษณาชวนเชื่อ
และจงใจสร้างความเกลียดชังในมวลหมู่ผู้คนเพื่อให้ทำลายซึ่งกันและกัน จนผู้ปกครองสามารถครอบงำทิศทางของประเทศตามความต้องการของตน
Big Brother เป็นแบบฉบับของจอมเผด็จการที่ทั้งบ้าและน่ากลัว
นิยายเรื่องนี้สะท้อนถึงรัฐบาลเผด็จการที่ต้องการกำจัดถ้อยคำ ปรับเปลี่ยนความหมายของภาษา รวมทั้งความคิดและความรู้สึกที่แฝงอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้น
เพราะศัตรูที่แท้จริงของรัฐบาล คือ ความจริง
เมื่อทรราชครองเมือง พวกเขาก็พยายามปิดกั้นความจริง
ปีศาจและคำโกหกตอแหลมาถมทับแทน ร้ายยิ่งกว่า "ศรีธนญชัย" หลายเท่า
พระเอกของเรื่องถูกทรมานให้ยอมรับว่า "สองบวกสองเป็นห้า"
นิยาย "1984" สะท้อนถึงความพยายามของเผด็จการที่จะกำจัดตัวตนของมนุษย์ในสังคมลงอย่างสิ้นซาก
อีกทั้งยังต้องการทำลายความสามารถในการตระหนักถึงโลกแห่งความเป็นจริงของทุกๆ คน
ถ้าอ่านทั้งสองเล่มก็จะเห็นภาพที่น่ากลัวของระบอบการรวมศูนย์แห่งอำนาจในการปกครองประเทศ
แน่นอนว่านิยายคลาสสิกสองเล่มนี้เป็นการจงใจจะวาดภาพอันน่าสะพรึงกลัวของ "เผด็จการ" หากคนในสังคมยอมให้ประเทศตกอยู่ในภาวะของการให้คนกลุ่มหนึ่งคนใดครอบงำฐานแห่งอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ
บทเรียนสำหรับคนไทยก็คือ เรายังต้องแยกแยะนิยามแห่ง "เผด็จการ" และ "ประชาธิปไตย" ให้ชัดเจน และไม่ให้ถูกวาทกรรมที่ตะโกนใส่กันไปมานั้นมากำหนดชะตากรรมของประเทศอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
สังคมไทยต้องไม่ยอมให้เกิด Big Brother ที่มีอำนาจเปี่ยมล้นและสามารถจะสั่งการให้ประชาชนต้องเชื่อไปทางใดทางหนึ่งตามที่ตนต้องการ
Big Brother ในยุคโซเชียลมีเดียไม่จำเป็นต้องเป็น "ทรราช" ในรูปของผู้นำเผด็จการคนใดคนหนึ่งเท่านั้น หากแต่ยังมาในรูปของการถูกกระแสแห่ง "ภาษาสร้างความเกลียดชัง" หรือ hate speech นำพาให้สังคมแตกแยกและมีความเกลียดชัดต่อกันโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาเหตุผลอย่างจริงจัง
หากจะมองให้ลึกแล้วหลายๆ ภาพที่ฉายในนิยาย 1984 ก็มีให้เห็นจริงจังในปี 2019 นี้ด้วยซ้ำไป.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |