5G จะสร้างอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ให้เฟื่องฟู


เพิ่มเพื่อน    

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า การเข้ามาของเทคโนโลยีการสื่อสารยุค 5G มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ดีขึ้น แต่มันคือ การเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของมนุษย์โลกเลยก็ว่าได้

 

 เพราะ 5G มันคือ ยุคของการเชื่อมต่อสิ่งของทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน เนื่องจากมันมีคุณสมบัติที่แตกต่างจากยุค 4G อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความหน่วงที่ลดลง(Latency) ซึ่งก็หมายถึงการตอบสนองต่อคำสั่งที่ไวขึ้น สามารถควบคุมสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว หรือแทบจะทันที ไม่เกิน 0.001 วินาที รวมถึงการส่งสัญญาณที่ไวขึ้นสูงสุดกว่า 10 Gbps รวมถึงมีแบนด์วิธที่เพิ่มขึ้น 1,000 เท่าในแต่ละพื้นที่ และที่สำคัญที่สุด คือ การประหยัดพลังงาน

 

ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น มันแสดงให้เห็นชัดว่า โลกของคน กับ เครื่องจักร แทบจะกลายเนื้อเดียวกัน คนสามารถสั่งงานเครื่องจักรได้อย่างง่ายดายแทบจะเรียลไทม์ ซึ่งในยุค 5G เราอาจจะเห็นการใช้งานเครื่องจักรแทนคนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เรียกว่า "โรบอต" หรือ หุ่นยนต์

 

 เมื่อก่อนการได้ชมภาพยนตร์ไซไฟ เราจะเห็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ และ ปัญญาประดิษฐ์มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และยุค 5G จะถือเป็นยุคเริ่มต้นในการพึ่งพาหุ่นยนต์กับชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

อย่างที่ทราบกันดี ประเทศที่ทุ่มเทงบประมาณ และวิจัยพัฒนาด้านหุ่นยนต์มากที่สุดชาติหนึ่งในโลก อย่างญี่ปุ่น ก็มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน โรบอต และ ฮิวแมนนอยด์ (หุ่นยนต์ที่คล้ายมนุษย์) มาอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G เป็นตัวขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง

 อย่างเมื่อเร็วๆนี้บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่อย่าง NTT DOCOMO ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยี NS Solutions พัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ โดยใช้สัญญาณ 5G เป็นสื่อขับเคลื่อน ซึ่งหุ่นนี้มีชื่อว่า 5G FACTORY III หน้าที่ของมัน คือ หุ่นยนต์ที่ถูกควบคุมโดยชุดสูตรของมนุษย์ โดยแนวคิดของการพัฒนาหุ่นนี้ ก็เพื่อทำงานในสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ไม่สามารถทำงานได้

 

สำหรับหุ่น 5G FACTORYIII มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดภาพจากกล้องให้ผู้ควบคุมมองเห็นได้แบบ 3 มิติ และควบคุมผ่านถุงมือซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ตามนิ้ว ทำให้หุ่นยนต์ขยับมือและแขนตามท่าทางของผู้สวม นอกจากนี้ มือของหุ่นยังติดตั้งเซ็นเซอร์สำหรับถ่ายทอดสัมผัส เช่น น้ำหนักของวัตถุที่หยิบจับ เพื่อให้ผู้ควบคุมรู้สึกเหมือนตัวเองทำงานอยู่ในสถานที่จริง ซึ่งทั้งหมดใช้เทคโนโลยี 5G เป็นตัวสื่อสารระหว่างคนกับอุปกรณ์

 

 นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียว ที่เกิดขึ้นจากการทดลองหลายร้อยเคสในโลกนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในเร็วๆนี้ หุ่นยนต์จะมีบทบาทต่อวงการอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล และจะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการที่จะยอมลงทุนกับการซื้อหุ่นยนต์มาทำงาน มากกว่าการจ้างคนมาทำ

อันที่จริงในปัจจุบัน บรรดาโรงงานในประเทศไทยก็มีการลงทุนในส่วนของเครื่องจักรและหุ่นยนต์กันมาพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะกลุ่มแขนกล แต่ในอนาคตการลงทุนในเครื่องจักร จะมีมากขึ้น เฉพาะแค่ในวงการอุตสาหกรรม จะมีการประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่มีความสามารถหลากหลายและทำงานได้หลายหน้าที่พร้อมกัน ออกวางจำหน่ายสู่ตลาดมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของโรงงานอุตสาหกรรม จะถูกยกระดับไปเป็นโรงงานอัจฉริยะ ซึ่งทุกอย่างจะต้องเชื่อมโยงอุปกรณ์ IoT เข้าด้วยกันมากมาย และ 5G ของสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งผ่านข้อมูล และจัดการคำสั่งในการทำงานได้ถูกต้อง

 

 ดังนั้นเรื่องของหุ่นยนต์ กับ เทคโนโลยี 5G กลายเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมาก ในแวดวงธุรกิจทั่วโลก เพราะค่อนข้างชัดเจนว่า 2 เทคโนโลยีนี้ มีความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนกันชนิดที่แยกไม่ออก

 

สังเกตได้จากการจัดงาน MWC Barcelona 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าในวงการโทรคมนาคมครั้งใหญ่ ซึ่งเพิ่งจัดขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภายในงานจะเห็นนวัตกรรมมากมาย และหุ่นยนต์ ก็กลายเป็นส่วนสำคัญ ในงานนี้ ยกตัวอย่าง K.T. Corporation ผู้ให้บริการรายใหญ่ของเกาหลีใต้ ก็มีการนำเสนอ หุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ ทำหน้าที่ ชงกาแฟ ให้ลูกค้า โดยการใช้งานก็ไม่ซับซ้อน ลูกค้าแค่เชื่อมต่อบริการผ่านสมาร์ทโฟน และเข้าไปยืน ณ จุดที่รอสินค้า หุ่นยนต์จะรับออเดอร์ และจัดการส่วนผสม ในการทำเครื่องดื่มแต่ละแก้ว อย่างพอดี ซึ่งทำได้หลากหลายเมนู

 

หรืออย่างบริษัท Cloudminds ก็มีการผลิตหุ่นยนต์ AI ที่มีระบบการประมวลผลอยู่บน Cloud ซึ่งจะต้องใช้ 5G เป็นตัวที่ทำให้หุ่นยนต์สามารถเชื่อมต่อกับสมองบน Cloud ในการทำงานภารกิจต่างๆ ซึ่งทางผู้ผลิตเห็นว่า ความรู้ AI นั้น ไม่สามารถบรรจุลงในไปหุ่นขนาดเท่ามนุษย์ได้หมด ดังนั้นการฝากสมองไว้บน Cloud และใช้ 5G เป็นตัวเชื่อมต่อ ในการตอบสนองคำสั่งงานต่างๆ น่าจะเป็นไปในทิศทางทีดีกว่า ซึ่งทำให้หุ่นยนต์มีความฉลาดมากขึ้น

 

ฉะนั้นเมื่อรู้ว่า 5G นั้นช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ประเทศไทยก็ควรจะต้องมีการ มองถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย เพราะประเทศไทยเราเอง ก็มีนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 และกำลังทำงานอย่างหนักในการดึงดูดอุตสาหกรรม S-curve เข้ามาลงทุนในบ้านเรา รวมถึงอุตสาหกรรมทางด้านหุ่นยนต์ด้วย ซึ่งประเทศไทยก็มีการนำเข้าสินค้ากลุ่มหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเฉลี่ยถึงปีละ 6,300 ล้านดอลลาร์ หรือปีละเกือบ 200,000 ล้านบาท

 

และหากไทยสามารถปักธงอุตสาหกรรมโรบอต ได้ก่อนใคร โดยมีเทคโนโลยี 5G สนับสนุน เชื่อว่า นอกจากจะช่วยลดการสูญเสียเงินตราออกไปต่างประเทศได้แล้ว ไทยเรายังมีโอกาสที่จะเป็นแหล่งผลิตและส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปต่างประเทศได้ โดยเฉพาะมีการพบว่า ประเทศในเอเชีย มีการสั่งซื้อสินค้าหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติถึง 40% ของโลก ซึ่งเชื่อว่า ไทยเราจะได้โอกาสอย่างมหาศาล ในอุตสาหกรรมนี้ โดยมี 5G อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

 

ทั้งนี้หากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สามารถผลักดันแผนการประมูลคลื่น สำหรับ 5G ได้เร็ว ก่อนใคร ไทยเราก็จะนำขบวนสำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ในภูมิภาคนี้ให้เกิดขึ้นได้


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"