คสช.ยื้ออยู่นาน ระวังจบไม่สวย


เพิ่มเพื่อน    

 ปรับทัศนคติ-เรียกคุย ครั้งที่ 10! คสช.ยื้ออยู่นาน จบไม่สวย

พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงานและแกนนำพรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ ชื่อนี้ในรอบกว่า 3 ปีของยุค คสช.เป็นบุคคลที่ออกมาให้ทัศนะและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและ คสช.โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จนถูกเรียกไปปรับทัศนคติที่ค่ายทหารและส่งทหารมาคุยถึงบ้านพักหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมาก็เพิ่งได้รับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงวันที่ 20  กุมภาพันธ์ 2561 ให้เข้ามาพบวันที่ 15 มี.ค.61 ในข้อหาฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศ คสช. ฉบับวันที่ 39/2557 ถือเป็นการเรียกไปปรับทัศนคติและออกหมายเรียกครั้งที่ 10 ถือได้ว่ามากที่สุดในฝ่ายพรรคเพื่อไทย

การพูดคุยกับ พิชัย ครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนมีหมายเรียกดังกล่าวไม่กี่วัน โดย พิชัย ย้ำว่ากระแสนิยม การยอมรับของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและ คสช.อยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง กระแสนิยมตกต่ำอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเห็นได้จากผลสำรวจหลายสถาบัน ซึ่งสาเหตุมาจากหลายปัญหาที่รุมเร้ารัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนทำรัฐประหาร เช่น การปฏิรูปประเทศ การสร้างความปรองดอง และตอนนี้ข่าวเรื่องความไม่โปร่งใสการทุจริตก็มีแต่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันโรดแมปการเลือกตั้งที่นายกฯ เคยประกาศไว้ว่าจะเลือกตั้งในปีนี้ก็มีแนวโน้มไม่เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นเชื่อถือต่อผู้นำ รวมถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งหมดทำให้มองได้ว่ามันส่งผลจนคนเริ่มหมดความอดทนกับรัฐบาล และเกิดกระแสต่อต้านมากขึ้น ซึ่งหาก คสช.จะยื้อไม่ยอมลงจากหลังเสือแต่โดยดี สถานการณ์ข้างหน้าก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย  เพราะเคยมีประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายครั้งที่ปรากฏให้เห็นมาแล้ว นอกจากนี้ พิชัย ยังได้พูดถึงอนาคตของพรรคเพื่อไทยเช่นเรื่องหัวหน้าพรรคที่หลายคนอยากรู้ว่าเป็นใครด้วย

โดย พิชัย กล่าวถึงหมายเรียกที่ให้ไปพบเจ้าหน้าที่ในวันที่ 15 มี.ค.ว่ายังไม่รู้ว่ามีสาเหตุใด ระยะหลังก็ไม่ค่อยได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบ่อยนัก นอกจากจะมีสาเหตุของเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมากจริงๆ  และได้มีการเสนอข้อแนะนำอย่างสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนเดือดร้อน จึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าต้องการเรียกเพื่อกลบข่าวกระแสนิยมที่กำลังตกต่ำอย่างมากของรัฐบาลในปัจจุบัน อีกทั้งกระแสการทุจริตคอร์รัปชันที่พุ่งขึ้นสูง ตามที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่าดัชนีคอร์รัปชันพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี อีกทั้งดุสิตโพลยังให้รัฐบาลสอบตกเรื่องทุจริตคอร์รัปชันโดยได้คะแนนเพียง 4.85 จาก คะแนนเต็ม 10

อยากถามว่าการเรียกทั้ง 10 หนนี้ เป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพราะรัฐบาลได้มีมติให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับดำเนินการตรงข้ามหมด

พิชัย กล่าวต่อไปว่าจากสถานการณ์การเมืองเวลานี้ การที่โรดแมปไม่ชัดเจนโดยปีนี้อาจไม่มีการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมแน่นอน เพราะ 3-4 ปีที่ผ่านมาความเสียหายมันเยอะมากอยู่แล้ว รัฐบาลมาอ้างว่าอาจแค่ขยับไปสามเดือน แต่ในความเป็นจริงตอนนี้รัฐบาลมีปัญหาเรื่องความเชื่อถือที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะที่ผ่านมารัฐบาลและ คสช.ขยับโรดแมปออกไปหลายครั้ง เช่นเคยบอกจะเลือกตั้งปี 2559 แล้วก็มาบอกอาจขยับไปเป็น 2560 จนล่าสุดบอกว่าอาจขยับไปเป็นปี 2562

การเลื่อนไปเรื่อยๆ มีผลเสียหายในเรื่องความมั่นใจ มันจะหายไป อย่างเรื่องที่บอกเศรษฐกิจจะฟื้น  สุดท้ายแล้วก็จะไม่ดีเท่าที่ควร เพราะตอนนี้ถือว่าโชคดีที่เศรษฐกิจอาจกำลังจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็เป็นเพราะเศรษฐกิจโลกมันเริ่มดีขึ้น ทั้งหมดไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล เพราะถ้าเป็นฝีมือรัฐบาลคงไม่มีการปรับออกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจบางคน เช่น รมว.การท่องเที่ยวฯ และ รมว.พาณิชย์

ตีแสกหน้านโยบายไทยนิยม

เมื่อซักถามความเห็นถึงการขับเคลื่อนนโยบายหลักๆ ของรัฐบาลจากไทยแลนด์ 4.0, ประชารัฐ, อีอีซี และขณะนี้ชูนโยบายโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ที่คิกออฟไปเมื่อ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา พิชัย-ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ให้ทัศนะว่า รัฐบาลที่มาด้วยการทำรัฐประหารซึ่งไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ก็จะพยายามสร้างวาทกรรมสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อสร้างความหวังให้ประชาชน ทำให้คนรู้สึกว่ามีอนาคตที่ก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งก็จะหลอกได้สักพัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่รัฐบาลสัญญาและทำมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงเลย

...หากดูจากแต่ละส่วนไล่ตั้งแต่ไทยแลนด์ 4.0 ที่ก็คงไปก๊อบปี้มาจากต่างประเทศ แต่ปัญหาคือหลักคิดมันยังไม่ได้ เพราะตัวรัฐบาลก็ยังไม่เข้าใจว่าไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร หากนำรัฐมนตรีในรัฐบาลแต่ละคนมาถามว่าอะไรคือไทยแลนด์ 4.0 ก็คงได้คำตอบไม่เหมือนกัน อันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหา นายกฯ เองก็ยังไม่เข้าใจว่า 4.0 คืออะไร บอกแค่ว่าเป็นหลักคิดในการปรับปรุงประเทศ ต้องการส่งเสริมให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ก้าวหน้า แต่รัฐบาลกลับไปกดดันไม่ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้  แล้วรัฐบาลจะไปสร้างบรรยากาศทำให้มีไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร เพราะเมื่อยังคงละเมิดสิทธิประชาชน  ก็ทำให้ภาพของรัฐบาลทั้งในและต่างประเทศเสียหาย

อย่างตัวผมเอง วิเคราะห์วิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจ แต่กลับถูกเรียกมาปรับทัศนคติ มีทหารมาคุยด้วยถึง 8-9 ครั้ง ถามว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ เพราะเรื่องการวิจารณ์เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ทั่วโลกเขาก็ทำกันได้หมด หากผมพูดผิดก็ออกมาโต้แย้งได้ว่าข้อมูลผิดตรงไหน ไม่ใช่มาลิดรอนสิทธิเพื่อต้องการไม่ให้ผมพูด การละเมิดสิทธิแบบนี้คือเรื่องที่รัฐบาลต้องนำมาคิด ในเมื่อเรื่องแบบนี้รัฐบาลยังไม่เข้าใจ แล้วจะมาทำเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างไร

พิชัย กล่าวต่อไปว่าสิ่งที่รัฐบาลทำข้างต้นเลยทำให้ขั้นตอน 4.0 มันไม่เกิด เพราะรัฐบาลทำสวนทางกัน และบางเรื่องก็ย้อนแย้งตัวเอง เช่นการเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม หมอดู แต่มาบอกว่าตัวเองเป็น 4.0

จากนั้น พิชัย-ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย มองอีกหนึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาลคือ ประชารัฐ ว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลพยายามสร้างขึ้นมา โดยบอกว่าจะเป็นนโยบายที่จะไปดูแลประชาชน แต่ถามว่าประชาชนได้อะไรจากประชารัฐบ้าง เห็นมีแต่นายทุนเชียร์ ไม่เห็นมีประชาชนออกมาบอกเลยว่าเขาได้ประโยชน์จากประชารัฐ มีการถมเงินลงไปจำนวนมากและตรวจสอบไม่ได้ เช่น ธงฟ้าประชารัฐ การแจกบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย สิ่งที่ทำไปถามว่าประชาชนนำไปต่อยอดได้ สร้างรายได้ให้ตัวเองเพิ่มขึ้นหรือไม่

...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลก ตลอดกว่าสามปีที่ผ่านมาผมพยายามบอกให้รัฐบาลลงมาช่วยดูแลประชาชนที่เดือดร้อน แต่เขาก็ไม่ได้ทำ แต่พอมาถึงปลายเทอมรัฐบาลกำลังจะมีการเลือกตั้ง รัฐบาลกลับเพิ่งมาเร่งทำเรื่องพวกนี้

          ส่วนที่รัฐบาลกำลังโหมเรื่อง ไทยนิยมยั่งยืน ในเวลานี้ พิชัย วิเคราะห์ว่าเมื่อประชาชนเริ่มเห็นแล้วว่าประชารัฐไปไม่ได้ รัฐบาลก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเรื่องไทยนิยมที่ก็ไม่ได้แตกต่างจากประชารัฐ ยังคงมีการใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อต้องการอัดฉีด หวังจะทำให้คะแนนนิยมของรัฐบาลที่ตกต่ำกลับมาฟื้นให้ได้ เพราะรู้แล้วว่าประชารัฐไปไม่ได้เจ๊งแล้ว

...ที่เขาทำไทยนิยมจากข้อมูลที่ได้รับก็คือ มีการไปทำสำรวจแล้วรู้ว่าพรรคเพื่อไทยความนิยมสูงมาก ก็เลยคิดโปรแกรมออกมาเพื่อหวังลดความนิยมของพรรคเพื่อไทย เลยทำไทยนิยมออกมา แล้วก็มีการพยายามชูสโลแกนประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไทยนิยม ที่เป็นความพยายามจะสร้างความชอบธรรมในการสืบทอดอำนาจ

- มองเจตนารมณ์การทำโครงการไทยนิยมของรัฐบาลอย่างไร

เชื่อได้ว่าต้องการสร้างคะแนนนิยมตัวเองให้กลับมาเพราะตัวเองกำลังย่ำแย่ และหวังทำลายฐานความนิยมของพรรคเพื่อไทยเพราะกำลังเริ่มเข้าสู่การเลือกตั้ง เห็นได้จากที่สามปีกว่าที่ผ่านมารัฐบาลปล่อยคนจนให้ลำบาก แต่พอใกล้กำลังจะมีการเลือกตั้งก็มาเร่งทำไทยนิยม แจกบัตรคนจน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการช่วยประชาชนอย่างแท้จริง โดยหากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขาต้องเริ่มวางนโยบายโครงการช่วยประชาชนตั้งแต่วันแรกที่บริหารประเทศแล้ว เรื่องแบบนี้ประชาชนเขาไม่ได้โง่  แล้วก็ยังมีความสับสนกันเองในรัฐบาล เพราะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจประกาศว่าปีนี้คนจนจะหมดไป แต่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ บอกว่าปล่อยให้มีการเลือกตั้งไม่ได้ เพราะคนจนไม่รู้เรื่องไม่สามารถที่จะเลือกได้ว่าใครเหมาะสม อันนี้เป็นการดูถูกประชาชนอย่างรุนแรงในความคิดผม เพราะบางประเทศที่แย่กว่าไทย เช่นประเทศในแถบอาเซียนบางประเทศ ประชาชนก็มีสิทธิ์ในการเลือกคนมาบริหารประเทศ ซึ่งตอนนี้เศรษฐกิจเขาก็โตมากกว่าไทยเสียอีก ซึ่งเหตุที่ระบอบประชาธิปไตยเป็นที่นิยมของคนทั้งโลก ก็เพราะเอาคนส่วนใหญ่เป็นหลัก เพราะหากคุณมาบริหารประเทศแต่ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กดขี่ประชาชนเพื่อรักษาอำนาจ แล้วเกรงว่าประชาชนจะไม่เลือก จนมาบอกว่าประชาชนโง่ ไม่เลือกคุณ มันไม่ถูกต้อง

          สิ่งที่ คสช.และรัฐบาลทำเวลานี้ต้องดูว่ามีโมเดลประเทศไหนในโลกทำสำเร็จบ้าง ก็จะพบว่าไม่มี  แต่สิ่งที่ คสช.ทำอยู่คือความล้มเหลว ความล่มจม เมื่อไม่มีโมเดลไหนในโลกที่ทำแบบ คสช.แล้วสำเร็จ  แล้ว คสช.คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่จะสำเร็จ มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทั้งหมดคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

...ถึงตอนนี้ 3 ปีกว่าของ คสช.ประชาชนน่าจะรับรู้ได้แล้วว่าที่ คสช.ทำรัฐประหาร แล้วบอกจะแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะที่เคยประกาศว่าจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ลดลง แต่ถึงตอนนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่เคยบอกไว้ก็ยังไม่เกิดขึ้น อีกทั้งการทำงานที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช.ถึงตอนนี้ปัญหาต่างๆ  โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากล่าสุดที่ผลการสำรวจความเห็นประชาชนของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่พบว่าผู้ประกอบการต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ เรียกรับผลประโยชน์ในสัดส่วนสูงสุดในช่วง 3 ปี โดยคิดเป็นตัวเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นหลักแสนล้าน แสดงให้เห็นว่าถึงตอนนี้ คสช.ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้เลย ที่เคยบอกว่าจะสร้างความปรองดองหรือการปฏิรูปก็ไม่มีผลงานอะไร

...อันนี้ยังไม่พูดถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลทำได้แต่เพียงท่องว่ากำลังฟื้น ฟื้นแล้ว แต่ความเป็นจริงประชาชนต่างรับรู้ได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้น แต่ความเป็นจริงแล้วในยุค คสช.มีความเสียหายทางเศรษฐกิจและการเสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่หลายประเทศพากันพัฒนาประเทศก้าวหน้ากันไปมาก แต่ประเทศไทยเราไม่พัฒนาไปไหน ข้อเท็จจริงเหล่านี้รัฐบาลพูดความจริงไม่หมด แต่ประชาชนรับรู้ได้

          พิชัย ย้ำว่าทั้งหมดทำให้เห็นว่า คสช.ที่อยู่มาสามปีกว่าเกือบสี่ปี เป็นบทเรียนแก่ประชาชนว่าวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ยังมีได้อีกหลายวิธี อย่าคิดว่าต้องทำรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหา เพราะที่ผ่านมาเราก็เห็นมาตลอดว่าประเทศหลังการทำรัฐประหารมันมีความเสียหายจำนวนมากที่หลายอย่างอาจวัดไม่ได้  คนที่เชียร์ทหารเชียร์ คสช.ตอนนี้อยากให้มองทุกอย่างด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ต้องเข้าข้างใคร ว่าตอนนี้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้จริงหรือไม่ ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ถูกต้องหรือไม่ ทั้งหมดผมไม่ได้พูดเพื่อต่อว่าหรือใส่ร้าย แต่เป็นความจริงทั้งหมด สภาพของประเทศไทยตอนนี้มันทำให้เราจะล้าหลังและเป็นปัญหาต่อไปในอนาคต

'อีอีซี' นโยบายดีพร้อมสานต่อ

          อย่างไรก็ตาม พิชัย ยอมรับว่าบางนโยบายของรัฐบาลก็ดีพอไปได้ โดยเฉพาะ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี โดยมองว่าตลอดกว่าสามปีของรัฐบาล คสช. นโยบายอีอีซีเป็นจุดที่ดี แนวคิดที่ดี เพราะมองว่าประเทศไทยต้องมีพื้นที่การเจริญเติบโต ซึ่งที่ผ่านมา โครงการอย่างอีสเทิร์นซีบอร์ดก็พัฒนาเต็มแล้ว การไปขยายพื้นที่ทำอีอีซีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเห็นด้วย แต่ปัญหาคือว่าที่รัฐบาลพยายามโปรโมตโครงการ เช่นการนำนักลงทุนในญี่ปุ่นเข้าไปลงทุน แต่ปัญหาคือตอนนี้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลมันไม่มี ยิ่งตอนนี้รัฐบาลมีปัญหาการเมือง ความนิยมตกต่ำ ประชาชนออกมาประท้วง ขนาดโพลที่เคยทำออกมาแล้วเชียร์รัฐบาลยังบอกว่าคะแนนนิยมรัฐบาลตกลงไปมาก แล้วคนที่จะมาลงทุนจะมีความมั่นใจต่อรัฐบาลได้อย่างไร อีกทั้งรัฐบาลไม่ได้มาด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะหากเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหากคะแนนนิยมตกต่ำ หากมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมาก็จะมาสานต่อนโยบายเดิม แต่เมื่อ คสช.มาด้วยวิธีการที่ไม่ปกติ มันก็เกิดความไม่มั่นใจว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น

จะเกิด Riot หรือไม่ จะเกิดความวุ่นวาย จลาจล จะมีปฏิวัติซ้อน หรือต้องเร่งการเลือกตั้งหรือไม่ ความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่มั่นใจ เพราะขนาดรัฐมนตรีในรัฐบาลด้วยกันเองก็ยังออกมาวิจารณ์กันเอง แสดงให้เห็นว่าคนในเรือเริ่มกำลังจะโดดออกจากเรือแล้ว สัญญาณชัดเจนว่ามันไม่มีความมั่นใจกันภายในรัฐบาลด้วยกันเองแล้ว

          ...อีอีซีเป็นสิ่งที่ดี หากรัฐบาลไหนเข้ามาก็ควรดำเนินการต่อ แต่ต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้น ให้เกิดการลงทุนที่แท้จริง เพราะโครงการนี้รัฐบาลใช้งบลงทุนทำโครงการไปหลายแสนล้านบาท หากทำแล้วนักลงทุนไม่เข้ามาก็สูญเปล่า สิ่งที่ต้องทำก็คือการสร้างความมั่นใจ ซึ่งหากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ก็ต้องนำประเทศกลับสู่การเลือกตั้ง

- พวกเมกะโปรเจกต์ต่างๆ เช่น อีอีซี รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ หลายคนมีคำถามว่าหากหลังการเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่เข้ามา เช่นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โครงการเหล่านี้จะมีการทบทวนหรือชะลอหรือไม่?

ตอนนี้ที่ได้ยินก็ต้องไปดูจากผลสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ที่บอกไว้ตอนแรกว่า เริ่มเห็นสัญญาณการจ่ายเงินใต้โต๊ะในสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเพื่อดูว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาในยุครัฐบาล คสช.มีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะที่ ม.หอการค้าไทยแถลงผลสำรวจดังกล่าวข้างต้น ระบุวงเงินร่วมสองแสนล้านมีการระบุถึงว่าเป็นเมกะโปรเจกต์ จึงต้องไปดู ซึ่งหากพบว่าทำมาโดยถูกต้อง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องทำให้เกิดความมั่นใจว่าโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลชุดนี้ทำ มีการทำโดยบริสุทธิ์ใจหรือไม่ ไม่ใช่ทำๆ ไป ทำให้นาฬิกาของบางคนเพิ่มจาก 25 เรือนมาเป็น 200 เรือน

          ..อีอีซีก็ต้องทำต่อ ส่วนพวกโครงการรถไฟความเร็งสูง รถไฟทางคู่ จริงๆ เป็นแนวคิดพรรคเพื่อไทยแต่แรก แล้วรัฐบาลชุดนี้เอามาทำ แต่ทำแล้วกลับใช้งบประมาณมากกว่ามโหฬาร

            เมื่อให้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสที่เหลือจนถึงสิ้นปีนี้ อัตราการเติบโตและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะมีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือลบกับโรดแมปการเลือกตั้งที่อาจขยับออกไปเป็นปีหน้าหรือไม่ พิชัย-ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย มองว่าหากดูจากการบริหารประเทศของรัฐบาล คสช.ในช่วง กว่า 3 ปีที่ผ่านมา เช่นปี 2560 ดีขึ้นหรือไม่ก็ต้องบอกว่าดีขึ้น แต่ดีขึ้นกับเศรษฐกิจดีมันไม่เหมือนกัน ดีขึ้นก็คือจะไม่ทรุดหนักไปกว่าเดิม แต่จะเห็นได้ว่าหากนำไทยไปเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านประเทศอื่น ของเขาโตที่ 6-7 เปอร์เซ็นต์ ของไทยเรายังต่ำกว่าประเทศอื่นมาก เช่นเรื่องการส่งออกแม้จะดีขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

...ถ้าถามว่าเศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร ตรงนี้คือปัญหา เพราะการลงทุนจากต่างประเทศไม่มี ก็มองว่าเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสต่อจากนี้ก็คงพอไปได้ จะไม่แย่ไปกว่านี้ เพราะแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกยังมีอยู่ แต่ถามว่าจะดีตามศักยภาพที่เกิดขึ้นหรือไม่ ก็คงไม่ดี เพราะ 3 ปีกว่าในยุค คสช.เศรษฐกิจเราโตแค่ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า จากเดิมที่เคยโตเฉลี่ย 3 เปอร์เซ็นต์กว่า ซึ่งในความเป็นจริง ศักยภาพของประเทศไทยเราโตทางเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ รัฐบาลไม่ควรบอกว่า ที่เศรษฐกิจโต 2 เปอร์เซ็นต์กว่าประสบความสำเร็จแล้ว เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้อยู่ ก็คือมาหลอกคน เช่นมาบอกว่าปีนี้อาจมีการลงทุนจากต่างประเทศสูงถึง 7 แสนล้านบาท ทั้งที่ความจริงก่อนหน้านี้ไทยเคยมีตัวเลขการลงทุนที่สูงกว่านั้นมาก ดังนั้นมองดูแล้วในภาวะที่ความนิยมและความเชื่อมั่นของรัฐบาลลดต่ำลง โอกาสที่เศรษฐกิจประเทศจะก้าวหน้าขยายตัวต่อไปเห็นได้ชัดว่าจะมีน้อยลง แต่คงไม่ถึงขั้นแย่เพราะมีแรงขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจโลก ก็อาจทำให้ของไทยโตได้เต็มที่ก็อาจแค่ 3-4 เปอร์เซ็นต์ จะไม่มากกว่านี้ เพราะเศรษฐกิจการลงทุนก็ยังมีปัญหา เพราะการลงทุนก็อาจน้อยลง

พิชัย-ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย ตอบหลังเราถามว่าจะเสนอแนะรัฐบาลควรเร่งทำเรื่องไหนในช่วงระยะเวลาที่เหลือก่อนจะมีการเลือกตั้ง ว่าที่ผ่านมาก็แนะนำมาตลอด สิ่งที่ คสช.ต้องเข้าใจคือ 3 ปีกว่าที่ผ่านมาที่ คสช.เคยคิดว่าประชาชนนิยม คนชอบ แต่ในความเป็นจริงการที่ประชาชนให้โอกาส คสช. จนทำให้ที่ผ่านมาสถานการณ์โดยรวมไม่เกิดปัญหาอะไร เป็นเพราะมีเรื่องอื่นของประเทศที่ใหญ่กว่านั้น ประชาชนก็เลยยอมเพื่อให้ผ่านพ้นบางช่วงเหตุการณ์ไปได้

...จะเห็นได้ว่าหลังเดือนตุลาคม ปี 2560 ความนิยมที่มีต่อ คสช.ตกลงเร็วมาก ที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ที่ประชาชนยอมทนไม่ใช่เพราะ คสช.ทำงานดี เพราะ คสช.มีผู้นำที่ผิดปกติ โวยวาย คิดทำอะไรต่างๆ ที่คนทั้งโลกเขาไม่ยอมรับกัน เมื่อทำให้พอมาถึงจุดหนึ่งในช่วงนี้ ที่ประชาชนต้องมาดูความเป็นจริงของประเทศ เขาก็ต้องมองแล้วว่าที่ผ่านมาในยุค คสช.ประเทศเสียหายขนาดไหนกับการที่คนลำบาก ยากจน เศรษฐกิจมีปัญหา ธุรกิจ SME เจ๊งกันจำนวนมาก โอกาสและความเจริญเติบโตของประเทศที่หายไป ใครรับผิดชอบ คสช.ควรต้องเข้าใจว่าได้ทำอะไรให้ประเทศเสียหายไปบ้าง

พิชัย ย้ำว่าสิ่งที่ คสช.ควรต้องทำก็คือ อะไรที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมาสู่จุดที่ทำให้คนทั่วโลกยอมรับได้ อันนี้คือโจทย์ของ คสช. ซึ่งหากเก่งพอ ทำตัวให้ดี ผมก็พร้อมยอมรับ แต่หากทำไม่ได้ก็ต้องให้ประเทศกลับไปสู่การเลือกตั้ง แล้วหาก คสช.อยากลงมาแข่งขันทางการเมืองก็ลงมา หากคิดว่ารัฐบาลทำงานดี ประชาชนก็จะเลือกคุณ

แต่หากใช้วิธีการอยู่ไปแล้วบริหารประเทศแบบนี้ไปเรื่อยๆ ประเทศก็เสียหายไปเรื่อยๆ โอกาสของประเทศ โอกาสของคนรุ่นใหม่ก็จะยิ่งเสียหายไปเรื่อยๆ เรื่องนี้ คสช.ควรต้องเข้าใจ คนที่เขาทนก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะว่า คสช.ทำได้ดี ไม่ใช่ อย่าสำคัญตัวเองผิด   

ยื้ออยู่ยาว คสช.จบไม่สวย 

ถามคำถามเรื่องการเมืองไปบ้างว่า ประเมินว่าโรดแมปเลือกตั้งอาจเลื่อนออกไปได้มากกว่านี้หรือไม่ พิชัย-แกนนำเพื่อไทย วิเคราะห์ว่า ที่ผ่านมาพวกแม่น้ำ 5 สาย เช่น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็เป็นคนของ คสช. หาก คสช.ต้องการแบบไหนก็โหวตตาม เป็นฝักถั่วหมด การที่มาบอกว่า สนช.จะมีความคิดของตัวเอง แต่อย่าลืมว่า สนช.มาจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่เลือกตั้ง ก็สั่งได้ว่าจะเอาอย่างไร

...จะมาบอกว่าไม่มีอำนาจไปสั่ง เป็นการโกหก คุณโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ประชาชนเขาไม่ได้โง่ เขามองอยู่ว่าพวกคุณกำลังเล่นเกมอะไรอยู่หรือไม่ จะลากการเลือกตั้งออกไปใช่หรือไม่ เพราะความนิยมกำลังแย่ จะไม่ยอมให้เลือกตั้ง

ในความเป็นจริงทางการเมือง รัฐบาลที่มีที่มาแบบนี้ เมื่อความนิยมมีปัญหา มันขุดไม่ขึ้น มันจะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ ไม่มีทางฟื้นความนิยมขึ้นมาได้อีกแล้ว มันตกแล้วตกเลย สิ่งที่ต้องทำ ต้องหาทางลงจากหลังเสือให้ดี ไม่อย่างนั้นในความคิดของผม หากไม่ยอมลง แล้วต้องลงเอง จากการถูกบังคับให้ลง มันจะลำบากกว่าเดิมมาก ไม่ใช่ว่าผมมาขู่ แต่ผมมองจากเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นในโลก และในประเทศไทยในอดีต เหตุการณ์มันเป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่ารัฐบาลขาลงอย่างหนักแล้ว มันแก้ไม่ได้

พิชัย กล่าวอีกว่า ที่กระแสนิยมรัฐบาลตกลง แม้รัฐบาลจะแก้ปัญหาปากท้อง ทำให้ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น ก็ไม่น่าจะทำให้คะแนนนิยมกลับมาดีขึ้นได้ เพราะเรื่องนี้มีองค์ประกอบหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น ปัญหาทุจริต ปัญหาการบริหารจัดการ ปัญหาเรื่องการยอมรับ เรื่องความไม่มั่นใจในการลงทุน มันไม่ใช่เรื่องปัญหาปากท้องอย่างเดียว ดังนั้นแม้รัฐบาลแก้ปัญหาปากท้องได้ ก็จะไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมดีขึ้น เพราะปัญหาของรัฐบาลหลายเรื่องมันหมักหมมมาเยอะ เช่น เรื่องคนใกล้ชิด เครือญาติของนายกฯ ที่ถูกตรวจสอบหลายเรื่องก่อนหน้านี้ทำไมคนยังทนได้ แต่พอตอนนี้เรื่องนาฬิกาคนทนไม่ได้แล้ว คนยังไปคิดว่านี้คือเหตุ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ แต่มันคือผล เพราะคนเริ่มเบื่อ คสช.แล้ว ตอนนี้ที่ทำอะไรต่างๆ คนไม่เชื่อ คสช.แล้ว

...ภาวะตอนนี้รัฐบาลง่อยแล้ว ทำหรือพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว ออกเพลง "ใจเพชร" มา คนไม่ชอบเป็นหมื่น แต่คนชอบไม่กี่ร้อย แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับแล้ว

ถามย้ำว่าสถานการณ์รัฐบาลต่อไปอาจสะดุดขาตัวเอง ทำให้ลงไม่สวย พิชัย ระบุว่า ยิ่งลากนาน โอกาสยิ่งลงไม่สวยมีมาก ก็มีหลายปัจจัย ผมก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ความวุ่นวาย ความไม่พอใจคนก็มีมากขึ้น ยิ่งไปห้ามไปจับคนที่มาแสดงออกทางเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในอดีตเวลาสถานการณ์มันจุดติด มันไม่ง่ายที่จะดับ ยิ่งหากไปจับเพิ่มกระแสความไม่พอใจจะยิ่งมากขึ้น อาจนำไปสู่ปัญหาหลายอย่าง ถ้ารัฐบาลฉลาดต้องเร่งเลือกตั้ง หาทางลงที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นอาจมีความวุ่นวาย อาจมีจลาจล อาจเกิดการปฏิวัติซ้อน ทุกอย่างอาจเกิดได้หมดในภาวะเช่นนี้

พิชัย ย้ำอีกว่าเมื่อความนิยมความน่าเชื่อถือไม่มี สิ่งที่ทำก็สวนกับที่พูด สิ่งที่เป็นอยู่เหมือนกำลังทวนกระแส อยู่ไปในภาวะที่อยู่ไม่ได้ ก็เป็นอะไรที่ต้องยอมรับผลกระทบ ก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ลักษณะที่เป็นตอนนี้ ถ้าเกิดแล้วเกิดเลย ดิ่งแล้วดิ่งเลย

...อันนี้เป็นการมองของผมโดยส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย คือมองว่าเขาพยายามอยู่ก็อยู่ได้ แต่ผลที่ย้อนกลับมาต้องคิดให้ดีอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าประชาชนทนไม่ได้ก็จะมีเสียงต่อต้านเยอะ คสช.ทำให้เกิดความปรองดอง เพราะทุกสีเห็นตรงกันรัฐบาลนี้ไม่เหมาะสมที่จะอยู่ต่อไปแล้ว (หัวเราะ) ความปรองดองเกิดขึ้นแล้วในช่วงสุดท้ายรัฐบาล คสช.

- จุดเสี่ยง คสช.คือไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง แล้วพยายามสืบทอดอำนาจ?

จุดเสี่ยงคือพฤติกรรม คสช.ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ สิ่งที่คนคาใจ แต่รัฐบาลไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุง ยิ่งทำให้ความเสื่อมเกิดขึ้นเร็ว

...ปัญหารัฐบาลคือเวลา ทั้งเวลาจากนาฬิกาหรู เวลากับการเลือกตั้งที่ลากต่อไป เวลาที่จะช่วยตั้งแต่แรก คนจะนิยม แต่ 3 ปีกว่าไม่ทำอะไร จะมาทำตอนนาทีสุดท้าย แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มองประชาชนอยู่ในหัวเลย มาช่วยนาทีสุดท้าย หวังว่าเขาจะรัก ซึ่งมันไม่ใช่

- แต่ คสช.ก็อาจอยู่ได้ตลอด เพราะมีกองทัพคอยหนุนหลัง?

เชื่อว่าคนในกองทัพทุกคนรักประเทศชาติ เวลาผมโดนเรียกไปปรับทัศนคติ เขาก็บอกว่าถูกสั่งมา ผมก็บอกเขาไปว่าที่ต้องออกมาวิจารณ์เรื่องเศรษฐกิจ เพราะรักประเทศเหมือนกัน ที่พูดไม่ใช่สิ่งไม่ดี ด่าใคร แต่จะทำให้ประเทศเจริญ เชื่อว่าคนในกองทัพก็รักประเทศ ถ้าเห็นว่าไปไม่ไหว รัฐบาลที่ไม่มีความนิยม ไม่มีความชอบธรรม ผมเชื่อว่าทหารไม่อยากเห็นประเทศแย่ จุดหนึ่งทหารก็คิดได้ว่าเขาสนับสนุนทางที่ถูกต้องหรือไม่.

..............................

 

แคนดิเดต หน.เพื่อไทย

ชื่อไหน ใครเต็ง?

            สิ่งที่หลายคนอยากรู้กันมากเกี่ยวกับทิศทางของพรรคเพื่อไทยก็คือ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย-แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย จะเป็นใคร?

          เมื่อถามถึงเรื่องผู้นำพรรค-หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่จะนำทัพเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้ง พิชัย กล่าวว่า จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยถ้าเราปรับให้เป็นที่ยอมรับ มีองคาพยพที่ดี เป็นทางเลือกให้คนเชื่อถือได้ โอกาสชนะเลือกตั้งโดยได้ ส.ส.เยอะๆ ก็มีมาก การจะต้องปรับองคาพยพรองรับการเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็น

หัวหน้าพรรคต้องเป็นที่ยอมรับของคนในพรรคและนอกพรรค ซึ่งคงจะมาคัดสรรกันว่าใครจะเหมาะสมมาเป็นผู้นำต่อไป ไม่ว่าจะเป็นคุณพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คุณจาตุรนต์ ฉายแสง คุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นการยกตัวอย่าง คิดว่าจะได้ข้อยุติก่อนเลือกตั้ง คงไม่เร็วไปกว่านั้น”

          ...ไม่ได้คิดว่าเป็นใครหรือไม่เป็นใคร แต่เป็นใครก็ได้ที่ประชาชนให้การยอมรับ นำพาพรรคไปสู่ชัยชนะได้ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่าเมื่อพรรคเพื่อไทยเข้ามาแล้วทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี ประเทศมีการพัฒนา ซึ่งตอนนี้ดูแล้วยังไงพรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสในการเลือกตั้งครั้งหน้า โอกาสเพื่อไทยเยอะมาก ยิ่ง คสช.อยู่นาน คะแนนเพื่อไทยยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น

เมื่อถามว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดถึงการคัดเลือกผู้นำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พิชัย ตอบว่าไม่ได้พูดเลย ท่านแค่เป็นห่วงประชาชน และความลำบากของประชาชนทางเศรษฐกิจ และอยากเห็นพรรคและผู้นำพรรคจะสามารถสร้างความมั่นใจและสร้างความหวังให้กับประชาชนได้เหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย

ต่อข้อถามถึงโอกาสพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง แต่อาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล พิชัย ย้ำว่าผมยังเชื่อว่ารัฐบาลเพื่อไทยชนะเกินครึ่ง หากชนะเกินครึ่งก็คงเลี่ยงยากที่จะไม่ให้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะไม่อย่างนั้นจะตอบสังคมโลกยาก ประชาชนเลือกแต่เอาคนอื่นมา เหมือนดูถูกประชาชนหรือไม่ ก็ยังเชื่อว่าโอกาสที่เพื่อไทยชนะเลือกตั้งมีสูง เพราะเราเชื่อว่าคนไม่ได้โง่ งานวิจัยจะกี่ครั้งที่ออกมาก็พิสูจน์แล้วว่า การซื้อเสียงไม่มีผลกระทบ ตอนนี้รัฐบาลซื้อเสียงอยู่ ไม่ใช่เพื่อไทยซื้อเสียง คุณอย่าโทษเพื่อไทยซื้อเสียง ต้องเรียนตรงๆ คสช.-รัฐบาลซื้อเสียง เน้นเลย ถ้าพิสูจน์ออกมาคุณซื้อเสียง แต่คนยังเลือกเพื่อไทย แสดงว่ารัฐบาลซื้อเสียงไม่ได้แล้ว ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ยังใช้วาทกรรมว่าเพื่อไทยซื้อเสียง คุณทุ่มเงินเป็นแสนล้านแล้ว เพื่อไทยไม่มีปัญญาทุ่มเงินขนาดนี้ แล้วคุณยังซื้อเสียงประชาชนไม่ได้ แสดงว่าประชาชนเลือกอนาคตของเขา ไม่ได้เลือกว่าใครเอาเงินไปแจก เลิกพูดได้แล้วว่าประชาชนโง่ ประชาชนซื้อเสียง

...ถ้าบี้เยอะๆ คนอาจเลือกเพื่อไทย 375 เสียงก็ได้ ใครจะไปรู้ ใช่ไหม ถ้าประชาชนเห็นว่าไม่ถูกต้อง อยากเห็นอะไร เขาก็เลือกสิ่งที่อยากเห็น เราอย่าไปดูถูกประชาชน เขาอยากเห็นอะไร สุดท้ายก็เป็นคำตอบของประชาชน

 ...อยากบอกว่าประเทศเสียหายเยอะมากถ้ายังเอาชนะคะคานกัน หรือยังเห็นกันแค่ว่าชอบทักษิณ-ไม่ชอบทักษิณ ประเทศจะเดินไม่ได้ ชอบพรรคไหน ไม่ชอบพรรคไหน กลายเป็นปัญหาประเทศ กว่า 10 ปีมาแล้ว เราได้บทเรียนพวกนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังเดินต่อไปอีกแบบนี้ มันคุ้มแล้วหรือ อยากให้ทุกคนกลับมานั่งคิดกันใหม่

...ผมเข้าใจว่าทุกคนมีความเห็น แต่สุดท้ายก็ควรมามองกันว่าประเทศนี้จะเดินอย่างไร การเคารพเสียงส่วนใหญ่เพื่อให้ประเทศเดินได้ ที่ทำกันมาแล้วบอกว่าไม่ชอบคนโน้นคนนี้ เสร็จแล้วประเทศมีปัญหา ทุกคนได้รับผลกระทบหมด จึงควรต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันให้ได้ ก้าวข้ามสิ่งพวกนี้ ซึ่งหลายประเทศก็ผ่านกันมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องก้าวข้าม อยากให้ทุกคนหันมามอง โดยยึดประเทศเป็นหลักและดูว่าจะเดินต่อไปกันอย่างไร

          และหลังมีกระแสข่าวมานานว่า หนึ่งในแคนดิเดตที่พรรคเพื่อไทยอาจส่งลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทยก็คือ พิชัย นริพทะพันธุ์ เมื่อถามเรื่องดังกล่าว เขาบอกว่าเรื่องนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้หารือกัน เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด ที่มีชื่อผมออกมา ต้องขอบคุณสื่อมวลชนที่ให้เกียรติ แต่ทุกคนคงอยากเห็นกรุงเทพมหานครเจริญและพัฒนา เพราะปัญหาที่ผ่านมาก็มีเยอะ ที่พูดไม่ได้หมายถึงว่าอยากจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ที่คนเห็นว่าผมควรไปลง อาจคิดว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อาจเกิดขึ้นเร็ว เลยโยนชื่อผมออกมา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ก็อาจอยากเห็นภาพ กทม.เปลี่ยนแปลง เพราะที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีมาก เช่น เรื่องฝุ่นละออง ยังไม่มีการพูดถึงมากนักว่าจะแก้ไขอย่างไร ทั้งระยะสั้นระยะยาว ถ้าจะถามถึงแนวทางก็คงต้องยกระดับรายได้คนกรุงเทพฯ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น หาที่ค้าขายให้ประชาชนมากขึ้น ทำอย่างไรให้ กทม.เป็นศูนย์กลางอาเซียนที่แท้จริง ต้องดึงศักยภาพกรุงเทพฯ ออกมา

สำหรับปัญหาใหญ่ของ กทม.จะพบว่าทุกอย่างเกี่ยวกับรายได้หมด เพราะเมื่อมีปัญหารถติด น้ำท่วม มันก็กระทบกับคนกรุงเทพฯ ทำให้เสียเวลา เสียหายหมด ก็ต้องดูว่าจะทำอย่างไรจะลดทอนปัญหาลง แต่ผมไม่ได้คิดเป็นผู้สมัคร คือใครมาก็เอาไปใช้ได้ ขอให้มีแนวทางการบริหารงานที่ถูกต้อง.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"