10 มิ.ย.62 - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน นัดไต่สวนพยานโจทก์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ หมายเลขดำ อม.42/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อายุ 62 ปี อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยุครัฐบาลทักษิณ 2 พรรคเพื่อไทย , นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีตกรรมการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอดีตประธานอนุกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการปี 2548–2549, นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจก่อสร้างที่พักอาศัย, นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร นักธุรกิจค้าข้าวรายใหญ่, นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงษ์เรืองรอง อายุ 56 ปี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย และกลุ่มเอกชน รวม 14 ราย เป็นจำเลยที่ 1-14
ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มาตรา 157, ฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 , 11 และเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 91
โดยอัยการ โจทก์นำพยานเข้าไต่สวนรวม 4 ปาก พยานของอัยการโจทก์ปากแรก คือ น.ส.ประเทือง ภิรมย์นก อดีตพนักงานฝ่ายการเงิน บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด เบิกความต่อศาลสรุปว่า ตนมีหน้าที่ทำเอกสารสั่งจ่ายเช็คตามคำสั่งของหัวหน้าฝ่ายการเงิน ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากผู้บริหารอีกต่อหนึ่ง โดยบริษัทฯ มีผู้ถือหุ้นเป็นชาวมาเลเซีย 3 คน และคนไทย 1 คนซึ่งผู้อนุมัติเช็คเป็นชาวมาเลเซีย ส่วนเงินที่สั่งจ่ายถูกบันทึกว่าเป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งได้สั่งจ่ายเช็ครวมทั้งหมด 60 ล้านบาท แต่แยกจ่ายเช็คหลายใบสั่งจ่ายแต่ละครั้ง 1-2 ล้านบาทและการจ่ายจะระบุเป็นเงินสดโดยไม่ได้ระบุเป็นชื่อผู้รับเช็ค ทั้งนี้ หลังจากสั่งจ่ายเช็คไม่ทราบว่าเป็นของใคร หรือนำไปทำอะไร รวมถึงไม่ทราบว่าบริษัทมีที่ปรึกษากี่คน ส่วนที่เคยให้การกับ คตส. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พนักงานสอบสวนไม่ได้สอบถามในรายละเอียดเกี่ยวกับการสั่งจ่ายเช็ค ถามเพียงข้อมูลการทำงานเท่านั้น
ส่วนนางชดช้อย พงศ์ไพโรจน์ ผู้ประกอบการบริษัทเอกชน พยานปากที่ 2 เบิกความว่า บริษัทได้เข้าร่วมโครงการบ้านเอื้ออาทร กับการเคหะแห่งชาติ ก่อนที่นายวัฒนา จำเลยที่ 1 รับตำแหน่งเป็น รมว.พม. และไม่เคยหารือกับนายวัฒนาเกี่ยวกับการทำโครงการ โดยได้ติดต่อนายอริสมันต์ให้ช่วยหาที่ดิน ซึ่งนายอริสมันต์ได้แนะนำเสนอที่ดินในจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 6 แปลง ซึ่งนายอริสมันต์แจ้งว่าหากได้รับการอนุมัติให้ร่วมโครงการต้องจ่ายค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ 40 ล้านบาท และ 7.6 ล้านบาทเป็นค่านายหน้า โดยมีที่ดิน 2 แปลงผ่านหลักเกณฑ์ให้ทำโครงการได้จึงทำการซื้อจำนวน 2 แปลง ภายหลังที่บริษัทได้รับการอนุมัติให้ทำโครงการ ก็มีผู้โทรศัพท์เข้ามาอ้างชื่อนายวัฒนา ทวงถามเงินค่าดำเนินการอนุมัติโครงการจำนวน 40 ล้านบาท ซึ่งตนไม่ทราบว่านายวัฒนา จำเลยที่ 1 อยู่ในนิวยอค์กเพื่อร่วมประชุมกับสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ส่วนเงินจำนวนดังกล่าวยืนยันมีการจ่ายจริงโดยตนได้เป็นผู้ดำเนินการแทนเจ้าของที่ดิน ขณะที่โครงการประชาวัฒนาในพื้นที่ลาดกระบัง หลังจากได้รับอนุมัติโครงการมีนายอภิชาต จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 4 โทรมาทวงเงินค่าดำเนินการให้กับผู้ใหญ่ในกระทรวง แต่ตนได้ปฏิเสธไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าตลอดการทำโครงการบริษัทไม่ได้มีการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่การเคหะแห่งชาติ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
ต่อมาช่วงบ่ายอัยการ โจทก์ นำพยานขึ้นเบิกความอีก 2 ปาก โดย น.ส.วิชชุดา รักจันทร์ อายุ 43 ปี อดีตหัวหน้าฝ่ายการเงินบริษัท กล่าวว่า ตนมีหน้าที่รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินของบริษัท โดยระหว่างที่บริษัทเป็นคู่สัญญาในโครงการบ้านเอื้ออาทร ผู้บริหารได้สั่งให้จัดทำเช็ค 11 ฉบับ จำนวน 18 ล้านบาท และเช็ค 34 ฉบับ จำนวน 63 ล้านบาทเพื่อจ่ายให้กับผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ จึงได้สั่งการต่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจัดทำเช็คดังกล่าว ต่อมาทราบจากผู้บริหารอีกคนของบริษัทว่าเป็นการสั่งจ่ายให้นายวัฒนา เมืองสุข รมว.พม.ในขณะนั้น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวถูกบันทึกในบัญชีไว้เป็นค่าใช้จ่ายต้องห้าม เพื่อหักออกจากรายได้ของบริษัท เพราะรายจ่ายนี้ไม่มีใบเสร็จ แต่ในเอกสารรายงานระบุเป็นค่าใช้จ่ายที่ปรึกษา อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าเช็คดังกล่าวถูกโอนเข้าบัญชีใคร เพราะเมื่อนำเช็คส่งให้ผู้บริหารที่สั่งให้ทำเช็คก็ไม่ได้สอบถาม
ขณะที่ น.ส.รุ่งทิพย์ จารุทรรศนกุล เจ้าของที่ดินในโครงการบ้านเอื้ออาทร เบิกความสรุปว่า น้องชายตนแจ้งว่าจะหาคนมาซื้อที่ดิน ซึ่งน้องชายตนเป็นเพื่อนกับน้องชายของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง น้องชายตนบอกว่านายอริสมันต์จะช่วยให้ขายที่ดินได้ ต่อมานายอริสมันต์ได้มาติดต่อเสนอจะนำที่ดินของตนให้การเคหะฯ พิจารณาทำโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยแนะนำให้บริษัทของนางชดช้อยเป็นผู้ซื้อที่ดิน และให้น้องชายตนเป็นกลุ่มนายหน้า ตนจึงเสนอขายที่ดินไร่ละ 2.5 ล้านบาท มีการทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทของนางชดช้อยพร้อมวางมัดจำ 1 ล้านบาท ซึ่งการเจรจาซื้อขายมีครั้งหนึ่งนายอริสมันต์แจ้งว่าต้องมีค่าดำเนินการให้ผู้ใหญ่ 40 ล้านบาท และ 7.6 ล้านเป็นค่านายหน้า กระทั่งโครงการได้รับอนุมัติเมื่อเดือนม.ค.49 นางชดช้อยให้ตนเสนอราคาไปที่การเคหะฯ ไร่ละ 3 ล้านบาท เพราะต้องใช้ดินถมที่จำนวนมาก แต่ตนไม่มีประสบการณ์ติดต่อกับหน่วยงานราชการ ดังนั้น เงินค่านายหน้า ค่าถมที่ดิน และค่าดำเนินการที่ได้มอบให้นางชดช้อยดำเนินการ ซึ่งตนไม่เห็นตัวเลขที่แท้จริงของเงินที่จ่ายไป ไม่ทราบว่านางชดช้อยจ่ายให้ใครบ้าง และไม่ทราบว่าผู้ใหญ่ของการเคหะเป็นใคร
“ดิฉันไม่รู้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเสนอราคาให้ส่วนราชการเท่าไหร่ แต่ดิฉันต้องการขายที่ดิน 2 แปลง รวม 97 ไร่เศษ ในราคาไร่ละ 2.5 ล้านบาท ดังนั้น ส่วนต่างที่เป็นค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ดิฉันบอกไปว่าไม่ขอรับรู้ ให้ไปดำเนินการกันเอง แต่ต่อมาทราบว่าเช็คเงินสด 7.6 ล้านบาทเป็นค่านายหน้าให้น้องชายตน ส่วนเช็คเงินสด 40 ล้านบาทไม่ทราบว่าใครเป็นผู้รับไป” น.ส.รุ่งทิพย์ กล่าว
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |