ชัดเจนแล้วสำหรับผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย นั่นคือ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" กับการนั่งในเก้าอี้ดังกล่าวต่อเป็นสมัยที่ 2 หลังจากกระบวนการดังกล่าวยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล การผลักดันนโยบายเพื่อบริหารประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
"นโยบายในด้านเศรษฐกิจ" ก็เป็นอีกประเด็นที่หลายฝ่ายจับตามองเป็นอย่างมาก นั่นเพราะแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ที่ต้องยอมรับว่าเจอกับอุปสรรค หรือปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะจากภายนอกประเทศ ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาความขัดแย้งในภาคการค้าของตลาดโลก ภายหลังจากสหรัฐและจีนประกาศสงครามทางการค้ากัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และเข้ามากดดันเศรษฐกิจไทยอยู่พอสมควร จนเป็นเหตุทำให้ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจไม่เป็นไปตามศักยภาพมากนัก
โดย "สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)" ได้ออกมายอมรับด้วยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความท้าทายอย่างมาก จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกระทรวงการคลังเห็นแล้วว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2562 ชะลอตัวมาอยู่ที่ 2.8%
และขณะนี้อยู่ระหว่างรอดูตัวเลขทางเศรษฐกิจในเดือน พ.ค.-มิ.ย.2562 ซึ่งถือเป็น 2 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 2/2562 ว่าจะมีทิศทางออกมาเป็นอย่างไร จะมีการขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้หรือไม่ โดยในปีนี้กระทรวงการคลัง คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.8% ขณะที่ภาพรวมตัวเลขส่งออกจะขยายตัวได้ที่ 3.4%
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ ปีนี้ "ภาคการส่งออก" ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดย 4 เดือนแรกของปี 2562 ขยายตัวติดลบแล้วถึง -1.9% และมีแนวโน้มรวมถึงความเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ตัวเลขการส่งออกของไทยจะเติบโตแบบติดลบด้วยเช่นกัน ดังนั้นจะต้องมีการจับตาดูเกี่ยวกับปัจจัยดังกล่าวมากเป็นพิเศษ เพราะการส่งออกมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ก่อนจะมีการคาดการณ์ว่า ภาคการส่งออกของไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2562
ขณะที่ "ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" ก็ออกมายืนยันอีกเสียงว่า ความกังวลจากปัญหาสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นมาอีกรอบ ระหว่างสหรัฐและจีนนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย สืบเนื่องไปจนถึงภาพรวมเศรษฐกิจด้วย ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรยังคงทรงตัวในระดับต่ำ ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้กำลังซื้อชะลอตัว และคาดว่าประชาชนจะยังระมัดระวังการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีนี้ เพราะชัดเจนว่าสัญญาณเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างชัดเจน ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่าน่าจะได้เห็นหน้าตาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ในเดือน ก.ค.นี้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่คาดว่าจะใกล้เคียงกับทีมเดิม โดยจะเข้ามาสานต่องาน และสามารถดึงความเชื่อมั่นได้ดีขึ้น แม้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2563 อาจจะล่าช้าไปถึง ม.ค.2563 จากกำหนดเดิมที่จะต้องเริ่มใช้ 1 ต.ค.2562 ซึ่งตรงนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสูญญากาศในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
แต่! เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจมากนัก เพราะรัฐบาลยังสามารถใช้งบกลางหรืองบที่เหลือของแต่ละกระทรวง เพื่อมาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3.5%
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับความกังวลว่าจะมีการเคลื่อนไหวนอกสภานั้น หากทุกอย่างเดินหน้าไปได้ตามกรอบ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่สามารถทำได้ แต่หากทำให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นสถานทูตต่างชาติออกมาเตือน ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน นั่นเพราะเป็นผลที่จะกระทบโดยตรงไปถึงภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศของไทย
อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามกันต่อว่า สุดท้ายแล้วหน้าตาของ ครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจจะออกมาเป็นอย่างไร หลังจากที่ภาคการเมืองยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นความกังวลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ส่วนราชการอย่าง "กระทรวงการคลัง" เอง ระหว่างที่รอความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ก็ได้มีการเตรียมมาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจไว้รอเสนอให้ รมว.การคลังคนใหม่พิจารณาแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า เศรษฐกิจไทยแค่ชะลอตัวเท่านั้น การออกมาตรการเพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงไปกว่าคาดการณ์เท่านั้น.
ครองขวัญ รอดหมวน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |