เปิดวิสัยทัศน์นายกฯแห่งความจริง 'ธนาธร' จะพาประเทศไทยไปโลกที่หนึ่ง


เพิ่มเพื่อน    

5 มิ.ย.62 - นายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงวิสัยทัศน์  ในฐานะแคนดิเดดนายกฯ นอกห้องประชุมรัฐสภา โดยมีรายละเอียดดังนี้

หากท่านอยากให้ประเทศไทยเป็นประเทศของคนเพียงกลุ่มหนึ่ง ที่มีสิทธิชี้ชะตาคนอื่นๆ ที่เหลือตามความต้องการของตนเอง โดยไม่ต้องยึดถือหลักการและความชอบธรรมใดๆ ท่านคงไม่จำเป็นต้องรับฟังสิ่งอื่นใดต่อจากนี้

แต่หากท่านอยากให้ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน เป็นสังคมที่เราสามารถยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ว่าเราอยู่ในสังคมที่เคารพสิทธิและเสียงของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน เป็นบ้านเมืองที่มีขือมีแป เต็มไปด้วยโอกาสและความสร้างสรรค์

นั่นแปลว่า เรามีความใฝ่ฝันเดียวกันครับ

ผมขอเวลาท่านเพียงไม่นาน เพื่อนำเสนอวิสัยทัศน์ในฐานะผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ผู้นำแบบไหนที่ท่านจะได้เห็น และประเทศไทยแบบไหนที่ผมอยากชักชวนทุกท่านมาร่วมสร้าง ร่วมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน

ผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของประชาชนไทย

ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลง และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้า

ประการแรก ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง

ประเทศไทยของเรามีพัฒนาการทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ ได้รับการยกย่องจากนานาชาติหลายต่อหลายด้าน

แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงด้วยเช่นกัน ว่าเรายังมี ปัญหารากฐานและปัญหาเฉพาะตัว อีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการแก้ไข

ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ผมมีโอกาสเดินทางไปทั่วประเทศไทย พบปะผู้คนในเมือง ชาวบ้านริมทะเล ผู้คนในสลัม พบเจอคนตัวเล็กๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ และผู้คนส่วนใหญ่ที่มีชีวิตทุกข์ยากลำเค็ญ ดำรงชีวิตอยู่เพียงวันต่อวัน จีดีีไม่สะท้อนความเป็นอยู่ของผู้คนอีกต่อไป

 งบประมาณแผ่นดินจำนวนมากถูกใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ จากผู้มีอำนาจ ช่องว่างระหว่างคนไทยด้วยกัน ทั้งที่มองเห็นวัดได้เป็นตัวเงิน หรือวัดไม่ได้อย่างโอกาสในการเรียนต่อ โอกาสในการได้งานดีๆ โดยไม่ต้องมีเส้นสาย มีแต่จะขยายตัวห่างกันออกไป

เพื่อจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เราจำเป็นต้องมองประเทศไทยที่เรารัก ด้วยสายตาแห่งความเป็นจริงเสียก่อนครับ

เราต้องยอมรับว่าปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และยอมรับว่าวิธีการแก้ปัญหาแบบที่ผ่านมานั้นล้มเหลวในหลายด้าน

เราจำเป็นต้องเข้าใจความซับซ้อนของปัญหา ในขณะเดียวกันก็ต้อง “อ่าน” สถานการณ์และเงื่อนไขของยุคโลกาภิวัตน์ให้ออก ตามเกมโลกให้ทัน

เราต้องเข้าใจว่าในโลกแห่งความเป็นจริง เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม นั้นเกี่ยวพันกันแนบแน่น

เราจะแก้ปัญหาทุนผูกขาดที่เอาเปรียบผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กได้อย่างไร หากไม่แก้ระบบอุปถัมภ์เส้นสาย

เราจะพัฒนาการศึกษาไทยให้ทันโลกได้อย่างไร หากไม่แก้ไขวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์

เราจะใช้เงินภาษีและงบประมาณที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของคนธรรมดาๆ ได้อย่างไร หากอำนาจตัดสินใจทุกอย่างยังอยู่ที่ส่วนกลาง อยู่กับคนและหน่วยงานที่ไม่เคยรับรู้ความยากลำบากรายวันของคนในพื้นที่

นอกจากต้องเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาแล้ว เรายังต้อง “อ่าน” สถานการณ์และเงื่อนไขของยุคโลกาภิวัตน์ให้ออกด้วยครับ

โลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พลวัตรการเปลี่ยนแปลงในประชาคมยุโรป

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวท่านอีกต่อไปแล้ว

หากการส่งออกและการท่องเที่ยวถดถอย ธุรกิจไทยก็ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกจ้าง เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่เกษียณอายุแล้วแต่พึ่งพารายได้จากธนาคารและตลาดทุน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่กรุงเทพฯ สงขลา อุดรธานี หรือพิษณุโลก เศรษฐกิจโลกส่งผลมาถึงชีวิตคุณอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้นำที่เหมาะสมกับยุคสมัยจำเป็นต้องรู้เท่าทัน เข้าใจสังคมไทย เข้าใจสังคมโลก รู้ทันเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนอยู่ทุกวินาที เพื่อที่จะวางตำแหน่งแห่งที่และบทบาทของประเทศไทยให้เหมาะสม รักษาผลประโยชน์ของประเทศ จัดการกับกระแสโลกาภิวัตน์ให้เกิดประโยชน์กับคนไทยมากที่สุด

เราต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ

แต่ปัจจุบันขณะในทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเป็นจริงอันซับซ้อน

ประเทศไทยต้องการผู้นำที่เข้าใจและจัดการกับความเป็นจริงของโลกปัจจุบันได้อย่างเท่าทัน

ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง

ชื่นชมและยกย่องสิ่งดีๆ ของประเทศไทย ทำสิ่งเหล่านั้นให้เลื่องลือ เป็นที่ยอมรับของนานาชาติยิ่งขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ก็พร้อมประเมินและคลี่คลายปัญหาที่มีอยู่ตามความเป็นจริงของสังคมไทย

และตามให้ทันเงื่อนไขเศรษฐกิจการเมืองโลก

ประการที่สอง ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลง

เพราะการมองและเข้าใจปัญหาจากความเป็นจริงอย่างเดียวยังไม่พอ

เรายังต้องกล้าเผชิญกับปัญหาที่ “ต้นตอ” และกล้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงด้วย

ต้องคิดอย่างเป็นระบบ กล้าเปลี่ยนแปลง และทำงานเป็นทีม

ประเทศไทยเราเคยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามเย็น วิกฤตน้ำมัน ภาวะข้าวยากหมากแพง หรือวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง

ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเราผ่านมันมาได้ มิหนำซ้ำ คนไทยเรากลับมีพลังและความร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเผชิญวิกฤตร้ายแรงเหล่านี้

แต่ทุกท่านครับ สิ่งที่สังคมไทยเผชิญอยู่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สงครามที่เรามองเห็นเครื่องบินรบ หรือได้ยินเสียงระเบิดโครมครามอีกต่อไป

หลายคนเปรียบเปรยปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเหมือน “กบที่ถูกต้ม”

เพราะหากปรับอุณหภูมิของน้ำให้ค่อยๆ สูงขึ้น กบจะไม่รู้ตัว รู้สึกสบาย ก่อนที่จะตายอย่างไม่รู้ตัว

เศรษฐกิจสังคมไทยวันนี้ก็คล้ายกัน การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อยๆ อ่อนกำลังลง หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้น บริษัทใหญ่มีเงินเหลือ แต่บริษัทเล็กผิดนัดชำระหนี้ ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินและทรัพย์สินทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ คุณภาพการศึกษาไทยถูกทิ้งห่างไปทุกปี ทุกปี

น้ำอาจไม่ได้เดือดปุดๆ จนเรามองเห็น แต่มันกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันท่วงทีก่อนจะสายเกินไป

แน่นอนครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำสำเร็จได้ในเวลาชั่วข้ามคืน และไม่อาจทำสำเร็จด้วยผู้นำเพียงคนเดียว

เพราะปัญหาหลายอย่างทับถมมายาวนาน และเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์แน่นแฟ้น

เราต้องประเมินปัญหาอย่างเป็นระบบ

หลายปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจตจำนงของผู้นำ เพราะเป็นเรื่องที่มีงานศึกษาวิจัยรองรับ ชี้ทางออกชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขาดความกล้าหาญในการเสนอและบังคับใช้อย่างจริงจัง (เช่น การปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ไม่บังคับใช้) ผมจะผลักดันอย่างสุดกำลัง เพราะเราเป็นตัวแทนของราษฎร ไม่ใช่กลุ่มทุน

หลายปัญหาเป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจ (เช่น รัฐราชการรวมศูนย์ โครงสร้างการศึกษาที่ซ้ำซ้อน) เราต้องกล้าชน กล้าเป็นปากเป็นเสียง โดยเริ่มต้นจากมองปัญหาอย่างเป็นระบบ กล้าชนกับความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมา

หลายปัญหาหมักหมมมานานหลายสิบปี แต่ผู้เดือนร้อนเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีปากมีเสียง (เช่น การจัดการป่า ที่ดินทำกิน สวัสดิการสังคม) เราต้องเข้าไปรับฟัง เปิดประตูการมีส่วนร่วม ต้องยืนยันสิทธิของผู้เสียเปรียบ ยืนยันการตัดสินใจบนหลักความชอบธรรม

แน่นอนครับ เราจะใช้แต่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำอย่างเป็นระบบ รอบคอบ และรัดกุม

เราโชคดีที่อยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร มีบทเรียนนโยบายจากต่างประเทศที่เคยลองผิดลองถูกมาแล้ว เราสามารถนำมาถอดบทเรียน และปรับใช้ให้เหมาะกับสังคมไทย

เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีจะต้องถูกนำมาใช้แก้ปัญหามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการประเมินผลต่อเนื่อง ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลไปพร้อมกัน

ไม่มียาวิเศษที่จะทำให้แก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ชั่วข้ามคืน

แต่ถ้าเราเลือกทิศทาง เลือกเครื่องมือให้ถูกต้อง กล้าเผชิญต้นตอของปัญหา คิดอย่างเป็นระบบ และทำงานเป็นทีม

การเปลี่ยนแปลงที่เราฝันไว้จะเป็นจริงได้

ท้ายที่สุดและสำคัญที่สุด ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้า

นี่เป็นภารกิจแห่งชีวิตของผมและของผู้แทนราษฎรทุกคนที่มีความใฝ่ฝันร่วมกัน

หากมองชีวิตของผมผ่านการพัฒนาประเทศ ความเจ็บปวดของเราคนไทยก็คงไม่ต่างกัน

พ่อกับแม่ของผมเกิดในยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงคราม ผู้คนปากกัดตีนถีบ ไม่มีใครอยากใช้สินค้าญี่ปุ่น

ตัวผมเองเกิดในยุคที่เกาหลีใต้ยังอยู่ในระดับพอๆ กับประเทศไทย เป็นประเทศเล็กที่ดูมีความพยายาม แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน สินค้าเกาหลีเป็นของราคาถูก เพลงเกาหลีไม่มีใครฟัง และไม่เคยได้ยินใครบอกว่าอยากไปเที่ยวเกาหลี

คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเห็นประจักษ์แล้วว่า ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากสงครามและกลายมาเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้ง

ส่วนคนรุ่นผม ก็ต้องปวดใจที่เห็นประเทศที่ออกสตาร์ทพร้อมๆ กับเรา อย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ค่อยๆ ผลัดกันแซงหน้าประเทศไทยไปทีละประเทศ

ในขณะที่ลูกของผมต้องมาเจอข่าวว่า เวียดนามกำลังจะแซงไทยไปในอีกไม่นานนี้

ไม่ว่าปีนี้ท่านจะอายุเท่าไหร่ ผมมั่นใจครับว่าท่านได้ยินประโยคที่ว่า “ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา” มาตั้งแต่เกิดกันทุกท่าน

แต่นี่ไม่ควรเป็นที่ของประเทศไทย

ประเทศไทยควรไปอยู่ในโลกที่หนึ่ง

เรามีทรัพยากรและศักยภาพมากพอที่จะเป็นประเทศชั้นนำ ประชาชนมีรายได้ดี เศรษฐกิจก้าวหน้า มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ธำรงรักษาปรับแต่งคุณค่าเอกลักษณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นไทยในโลกสากล

การสร้างสังคมไทยที่ คนไทยเท่าเทียมกัน และประเทศไทยเท่าทันโลก จะไม่ใช่ภารกิจของพรรคอนาคตใหม่อีกต่อไป

แต่จะกลายเป็นภารกิจของรัฐบาลประชาธิปไตย และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พร้อมพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า

ในด้านหนึ่ง เราต้องยืนหยัดสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสิทธิและโอกาสของคนไทยอย่างจริงจัง เพราะความเท่าเทียมเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและเปี่ยมความหมาย ไม่ว่าจะเกิดมาในครอบครัวไหน พื้นที่หรือเพศใด

การขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยจะต้องไม่ใช่แค่การปรับตัวเลข เปลี่ยนสถิติ แต่ต้องเป็นการยืนยันความเท่าเทียมของ “สิทธิและโอกาส”

ในอีกด้านหนึ่ง เราต้องวางเป้าหมายในการสร้างประเทศไทยที่เท่าทันโลก ขีดเส้นมาตรฐานบริการของรัฐและยกระดับเศรษฐกิจของไทยใหม่ให้เท่าทันสากล เป็นประเทศไทยที่ทะยานไปอย่างเต็มศักยภาพ ไม่น้อยหน้าใครในเวทีโลก

จะดีแค่ไหนครับ ถ้าเราสามารถส่งต่อ “ประเทศไทยที่อยู่ในโลกที่หนึ่ง” ให้กับลูกหลานของเราได้ ปะเทศไทยที่คนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเป็นธรรม และไม่มีรัฐประหาร

ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้า

และขอยืนยันหลักการประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ว่าผมจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านระบอบรัฐสภา ใช้กลไกที่ยึดโยงกับประชาน มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล

ยึดมั่นในระบบนิติรัฐ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขควบคู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงสถาพร

แม้จะยาก จะนานเพียงใด ก็ต้องยืนยันเส้นทางนี้ ไม่มีทางลัด การด่วนรัฐประหาร ล้มกระดาน บิดเบือนเสียงของประชาชนมีแต่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ทางตัน

เราต้องช่วยกันทำให้ ส.ส. เป็นผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ ตัวแทนของอำนาจนอกระบบ อำนาจทหาร และอำนาจทุน

ช่วยกันทำให้รัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ เป็นสถานที่ที่ปัญหาของประชาชนถูกนำมาถกเถียงเพื่อหาทางออก ไม่ใช่ สถานที่ที่ผู้คนเอือมระอา เสียดายคะแนนเสียงของตัวเอง และหมดศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย

ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ ในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์

ผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลง และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้าครับ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"