5 มิ.ย.62 - เมื่อเวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายกหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ว่า ก่อนการเลือกตั้ง24 มีนาคม ที่ผ่านมา ผมได้แสดงจึงยืนยันกับคนไทยทั้งประเทศว่า ไม่สนับสนุนการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ซึ่งการแสดงจุดยืนดังกล่าวในขณะนั้นอยู่ในฐานะหัวหน้าพรรค ซึ่งผมมั่นใจว่ามีความสอดคล้องกับอุดมการณ์พรรคที่ประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรค และสอดคล้องกับเป้าหมายของพรรค คือ ต้องการเห็นประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต เพราะมั่นใจว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของประเทศในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคไม่ประสบความสำเร็จ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งได้แสดงความรับผิดชอบในฐานะหัวหน้าพรรคด้วยการลาออก แต่มีประชาชนเกือบ 4 ล้านคนตัดสินใจลงคะแนนให้กับพรรค โดยทราบถึงจุดยืนของหัวหน้าพรรคว่าในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร ผมถือโอกาสขอบคุณประชาชนเหล่านี้ที่สนับสนุนจุดยืนของผมและพรรคในขณะนั้น และสำนึกตลอดว่าเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำจุดยืนเหล่านั้นให้เป็นจริงให้ได้
แม้เลือกตั้งจะผ่านพ้นมา ผมยังยึดมั่นในจุดยืนนี้ โดยพยายามโน้มน้าวให้สมาชิกรักษาจุดยืนดังกล่าวไว้ จนถึงวันนี้ยังยืนยันจุดยืนเดิม เพราะมองว่าทั้งพฤติกรรมและเหตุการณ์จากวันที่ยืนยันจุดยืนจนถึงวันนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศชาติต้องการให้ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต ซึ่งสิ่งที่ได้ประสบมาในการเลือกตั้งทั้งการใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน พฤติกรรมการได้มาในสิ่งต่างๆโดยมิชอบ จนถึงการกระทำอื่นๆ
เช่น การสรรหาสว.การแทรกซึมในสื่อมวลชนบางแขนง การทำให้องค์กรอิสระไม่สามารถตรวจสอบ ทัดทานรักษาความถูกต้องตามกติกาได้ ซึ่งพฤติการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมยืนยันว่ายังมีอยู่จริง ทำให้การใช้คำว่าสืบทอดอำนาจไม่ใช่เป็นเพียงแค่วาทกรรมทางการเมือง แต่เป็นความจริงที่ไม่แตกต่างจากเหล่าอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2548 ในวันที่ผมยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าระบอบทักษิณ
พฤติกรรมที่เหมือนกันหากนึกไม่ออกแนะนำให้อ่านหนังสือที่ชื่อว่า “Animal Farm”และจะได้ซาบซึ้งและเข้าใจว่าพฤติกรรม หรือพฤติการที่ต่อสู้กับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วกลับทำเสมือนกันทุกประการเป็นอย่างไรผมหวังว่าจะไม่ต้องแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มต่อไปของผู้เขียนหนังสือดังกล่าว ที่ชื่อ “1984” ขอให้ไปอ่านแล้วกันว่าเรื่องนั้นมีเนื้อหาอย่างไร
เมื่อวานผมใช้ความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวสมาชิกพรรคว่าควรจะเลือกเส้นทางใด ซึ่งขณะนี้ทุกคนทราบดีแล้วว่าพรรคมีมติสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี และจะเข้าร่วมรัฐบาล ด้วยความเคารพมติของพรรค แต่ขอยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว แต่ก็ได้บอกกับที่ประชุมไปแล้วว่าหากพรรคมีมติออกมาเป็นเช่นไร สมาชิกพรรคก็ควรต้องปฏิบัติตามเช่นนั้น ไม่มีการฝ่าฝืนมติของพรรค ซึ่งที่ผมไม่เห็นด้วยเพราะยังแอบหวังลึกๆว่าสิ่งที่พรรคพยายามจะทำจะประสบความสำเร็จ นั่นคือการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมายิ่งขึ้น รวมถึงความตั้งใจของเพื่อนๆในพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน
แอบหวังลึกๆว่าคนของพรรคที่จะไปพายเรือให้จะกลับใจสร้างประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล แต่ที่ยืนยันในจุดเดิมของผมเพราะเสียดายโอกาสที่พรรคแม้ตอนนี้จะกลายเป็นพรรคขนาดกลาง สามารถที่จะสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ ด้วยการทำหน้าที่เป็นฝ่ายที่3 ที่เป็นกลาง พร้อมตรวจสอบรัฐบาล อะไรที่ดีพรรคก็สามารถสนับสนุนได้ อะไรที่ไม่ดีพรรคก็สามารถตรวจสอบและมีความเป็นอิสระในการแสดงออกกับการไม่เห็นด้วย เป็นการถ่วงดุลการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตและสร้างคุณค่าในฝ่ายนิติบัญญัติ
พร้อมกันนี้ที่ผมเสียดายก็คือการสร้างพื้นที่ที่จะเริ่มต้นพื้นที่เล็กๆ แต่เติบโตต่อไปเพื่อเป็นทางสายหลักของประชาธิปไตย ไม่ปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแบบอ้างคำว่าประชาธิปไตยบังหน้า หรือเป็นเสื้อคลุม แต่ไม่มีพฤติการณ์ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และเสียดายโอกาสที่จะไม่สามารถที่จะทำให้การเมืองไทยหลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับด้วยการเลือกข้างด้วยอารมณ์ ด้วยความเกลียดเผด็จการ หรือด้วยการกลัวทักษิณ จึงต้องเรียนว่าความพยายามของผมเมื่อไม่ประสบความสำเร็จแล้วต้องตัดสินใจว่าการดำเนินการต่อไปของผมคืออะไร อย่างไร
ประการแรก คือขอโทษพี่น้องประชาชนทุกคนที่ตัดสินใจเลทือกพรรคที่ผ่านมา โดยเข้าใจว่าพรรคจะรักษาจุดยืนคำพูด และอุดมการณ์ของผมที่พูดไปในฐานะหัวหน้าพรรค
ประการที่สอง ในการทำหน้าที่ที่ผมจะต้องทำในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรในวันนี้ในการประชุมรัฐสภาวาระเลือกนายกรัฐมนตรี คงไม่สามารถเดินเข้าไปในห้องประชุมและเดินไปลงคะแนนด้วยการฝ่าฝืนมติของพรรคได้
ผมเป็นนักการเมืองที่สนับสนุนระบบพรรคการเมืองได้รับโอกาสจากพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นหัวหน้าพรรคกว่า10 ปี จึงทราบดีว่านักการเมืองจะต้องมีวินัย จะให้เดินเข้าแล้วออกเสียงว่าสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำไม่ได้ เพราะยิ่งใหญ่กว่ามติพรรคคือสัญญาประชาคมที่ตนให้ไว้กับประชาชน
ขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกพรรคเมื่อวานนี้ที่พยายามเสนอทางออกให้กับผม คำว่าอยากจะช่วยรักษาเกียรติภูมิให้กับผม ด้วยการเสนอให้ผมงดออกเสียง แต่ผมได้ตอบกลับไปในที่ประชุมว่าพรรคคงไม่มีหน้าที่ต้องรักษาเกียรติภูมิให้กับคนหนึ่งคนใด แต่พรรคมีหน้าที่รักษาเกียรติภูมิให้พรรค ส่วนการรักษาเกียรติภูมิให้ผมเป็นหน้าที่ของผม ดังนั้นจึงปฏิเสธแนวทางในข้อยกเว้นเกี่ยวกับเรื่องงดออกเสียงในที่ประชุม
อย่างไรก็ตามทราบดีว่าปัญหาทั้งหมดไม่ได้จบลงวันนี้ทุกสัปดาห์ผมต้องเผชิญกับปัญหานี้ตลอดเหมือนกันสัปดาห์ที่แล้วขอยอมรับว่าตลอด 27 ปีของการเป็นส.ส.ที่ผ่านมาไม่เคยอึดอัดในการลงมติเพื่อให้เลื่อนการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฏร ทั้งที่ไม่มีเหตุผลตอบกลับสังคม จึงขอถือโอกาสนี้ขอโทษกับประชาชน แต่ที่ทำไปเพราะไม่ต้องการฝืนมติพรรค และลดน้ำหนักกับการที่จะต้องไปต่อสู้ภายในพรรคเพื่อให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องในเรื่องที่ใหญ่กว่า
ดังนั้นเมื่อถึงวันนี้แล้วผมเหลือทางเดียวที่จะรักษาเกียรติภูมิ ไม่ใช่เฉพาะผม แต่รวมถึงเกียรติภูมิของตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคที่มีคำขวัญว่าสัจจังเว อมตะวาจา ที่จะต้องดรักษาคำพูดและรับผิดชอบกับคำพูดที่กล่าวไว้กับประชาชน เพราะการทำงานของผมนั้นยึดถืออุดมการณ์ และหลักการเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเลื่อนลอย เพราะเชื่อว่าการมีอุดมาการณ์และหลักการเท่านั้นถึงจะสร้างประโยชน์สุขให้กับประชาชนและประเทศชาติในระยะยาวได้ มหาคานธีเคยส่งจดหมายให้หลาน
พูดถึงบาป 7 ประการในสังคม หนึ่งในนั้นคือการเมืองปราศจากหลักการ ผมไม่สามารถทำบาปนั้นได้ ผมจึงจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอบคุณครับ.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |