แน่งๆ...อย่าแหลงไหร!!!


เพิ่มเพื่อน    

 

                                      (1)

                หนึ่งในคำสอน คำแนะนำ ของ ป๋าเปรม ที่อาจารย์ ไซรรงค์ สุวรรณคีรี ท่านนำมาเปิดเผยหลังการมรณกรรมของรัฐบุรุษรายนี้ คือการ แน่งๆ...อย่าแหลงไหร หรือ นิ่งๆ...อย่าพูดอะไรออกไป ซึ่งคุณน้อง สันต์ สะตอแมน นำมาถ่ายทอดต่อในคอลัมน์ วิสามัญบันเทิง เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ถือเป็นคำสอน คำแนะนำ ระดับที่อาจเรียกว่า คาถาศักดิ์สิทธิ์ ก็คงพอได้...

                                                       (2)

                เพราะด้วยการ แน่งๆ...อย่าแหลงไหร ที่ว่านี้นี่แหละ น่าจะเป็น สูตรสำเร็จ อันส่งผลให้ ป๋า ท่านอยู่ยาวว์ว์ว์มาถึง 8 ปี ในฐานะนายกรัฐมนตรี คือท่านพูดน้อยเอามากๆ หรือแทบจะไม่พูดเอาเลยก็ว่าได้ แม้จะถูกรุก ถูกถาม เอาหนักๆ จากบรรดากระจิบและกระจอกข่าวทั้งหลาย แต่ ดอกพิกุล แทบไม่หลุดร่วงออกจากปากของท่าน หรือเมื่อร่วงแล้ว ก็กลายเป็นคนละเรื่อง คนละม้วน กับสิ่งที่นักข่าวทั้งหลายอยากจะได้คำตอบ คือออกไปทาง กลับบ้าน...เถอะลูก อะไรประมาณนั้น...

                                                        (3)

                ฉายาอีกหนึ่งฉายาของ ป๋า นอกเหนือไปจาก นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้ว...ก็คือฉายา เตมีย์ใบ้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นเพราะ พระเตมีย์ ท่านไม่ยอมพูด ยอมจา จนไม่ว่าใครต่อใคร เดาทาง ท่านไม่ออก ใครต่อใครเหล่านั้น...จึงมักมีอันต้อง เสร็จพระเตมีย์ หรือ เสร็จนักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และนั่นเองที่ทำให้ ป๋า ท่านสามารถยืนหยัด ยืนยง อยู่ท่ามกลางแวดวงสิงสาราสัตว์ ที่ต่างก็มีเขี้ยว มีงา มีปีก มีหาง แถมพ่นไฟได้ด้วย ชนิดไม่มีหัก มีโค่น ไปจนกระทั่ง...เมื่อท่านได้ตัดสินใจเอ่ยเอื้อนมธุรสวาจาว่า ผมพอแล้ว นั่นแล...

                                                       (4)

                แต่ก็นั่นแหละ...การ แน่งๆ...อย่าแหลงไหร นั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นคำสอน คำแนะนำ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายๆ ขนาดอาจารย์ ไซรรงค์ ผู้ได้รับคำแนะนำโดยตรงจาก ป๋าเปรม แท้ๆ ท่านยังอดไม่ได้ที่จะต้อง แหลง อะไรต่อมิอะไร โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเป็น โฆษก รัฐบาล หรือโฆษกของป๋าเปรม เป็นผู้ที่ต้องแบกรับหน้าที่ในการรับประทานสากกะเบือบิน รองเท้าแตะ หรือกระทั่งส้นเท้าใครต่อใครแทน ป๋า ชนิดอ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์กันไปมิใช่น้อย แต่หลังจากพ้นหน้าที่โฆษกไปเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ดูจะหันไป แน่งๆ อยู่ตามสมควร และสิ่งที่จำเป็นต้อง แหลง โดยส่วนใหญ่...ก็ออกจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม เป็นหลัก...

                                                      (5)

                อย่างไรก็ตาม...การ แน่งๆ...อย่าแหลงไหร นั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการฝึก อาศัย สติ และ สมาธิ อาศัยความอดทน อดกลั้น หรือ ขันติธรรม อยู่พอสมควร ชนิดอาจต้องก่อตั้ง สมาคมฝึกไม่พูด แทน สมาคมฝึกพูด เอาเลยก็ว่าได้ เพราะสำหรับปุถุชนคนธรรมดาโดยทั่วไป ที่ยังไม่สามารถเจริญสติ เจริญสมาธิ ได้ถึงขั้นมาตรฐาน เมื่อไหร่ที่อะไรมันเกิดเข้าหู เข้าตา เข้าปาก เข้าจมูก ขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือเข้าไป ปรุงแต่ง กับอารมณ์-ความรู้สึกเรียบร้อยแล้ว ปากและลิ้นมันมักต้องเกิดอาการ กระตุกไป-กระตุกมา ขยับไป-ขยับมา จนอดไม่ได้ที่ต้อง แหลงโน่น-แหลงนี่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และเมื่อ แหลง ไปแล้ว แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง มันก็อาจกลายเป็นเรื่อง-เป็นราว ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรื่อง-ได้ราว ต้องออกอาการเลอะๆ-เทอะๆ ไปตามสภาพ...

                                                       (6)

                อันที่จริง...แบบอย่าง ตัวอย่าง ของการ แน่งๆ...อย่าแหลงไหร นั้น ก็ไม่ใช่แต่เฉพาะ ป๋าเปรม เท่านั้น ที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น พระเตมีย์ ภาคส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติหนึ่งๆ การไม่พูด ไม่แหลง จนได้ฉายาว่า พระเตมีย์ใบ้ ก็ถือเป็นตัวแสดงคุณค่าของธรรมะ โดยเฉพาะในแง่ ขันติธรรม ได้เป็นอย่างดี หรือ พระมหาวีระ ศาสดาศาสนา เชน นั่นก็อีกราย ที่ใช้วิธี บำเพ็ญตบะ ด้วยการ ไม่พูด นับเป็นสิบๆ ปี กระทั่งถูกทุบ ถูกตี จนเลือดอาบไปแทบทั้งร่าง แต่ก็ยังไม่ยอมปริปากใดๆ ออกมาแม้แต่นิด...

                                                       (7)

                และสิ่งที่เรียกว่า ขันติธรรม ที่ว่านี้นี่เอง...ที่สมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ปัจจุบัน ท่านพยายามย้ำนัก ย้ำหนา ว่าถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ สำหรับชาติ บ้านเมือง ในช่วงนี้ คือไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งความรู้-รัก-สามัคคีเท่านั้น แต่ยังเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณธรรมอื่นๆ ตามมาอีกเยอะแยะ อีกทั้งยังช่วยชี้ทางสว่างไว้ด้วยว่า...“การทำงานทุกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบริหาร จำเป็นต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคเป็นธรรมดา แต่อันที่จริงถ้าใคร่ครวญดูให้ดีจะพบว่า หนทางแก้ปัญหายังมีอยู่เสมอ ความอดทน อดกลั้น ต่อโลกธรรมฝ่ายที่ไม่น่าพึงใจนั้น เป็นคุณสมบัติที่ผู้บริหารทุกระดับ ต้องพยายามสั่งสม อบรม ให้เจริญขึ้น เพื่อเป็นประตูไปสู่การแก้ไขปัญหา กระทั่งบรรลุถึงความเจริญงอกงามได้...” ก็เอาเป็นว่า...ยังไงๆ ลองนำไปใช้ใน แอนนิมอล ฟาร์ม กันดูก็แล้วกัน...

                           ---------------------------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"