อึมครึมจนประชาชนเริ่มรู้สึกอึดอัด กับสภาวการณ์ที่ผ่านมากว่า 2 เดือน หนำซ้ำยังเลือกประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว แต่จนถึงป่านนี้ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ ติดหล่มกันอยู่ที่เรื่องการจัดสรรโควตารัฐมนตรีของแต่ละพรรคที่ไม่ลงตัว โดยเฉพาะตัวแปรสำคัญอย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ที่วันนี้ขันหมากแห่ไปถึงเรือนชาน แต่ยังไม่ตอบตกลง เพราะติดล็อกอยู่เรื่องนี้

                จนมีข่าวออกมาว่า หากเจรจา “สินสอด” กันไม่ได้ สุดท้ายพรรคพลังประชารัฐจำเป็นต้องลุยฝ่าเสียงก่นด่า พึ่งพาเสียง ส.ว. เพื่อให้คว้าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยเคลียร์กันต่อว่าจะเอาอย่างไร ทั้งที่แต่เดิมตั้งใจไว้ว่า อยากจะชนะหมดจดตั้งแต่จำนวน ส.ส. เพื่อป้องกันครหา

                อย่าว่าแต่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยที่ต้องจัดสรรให้ ภายในพรรคพลังประชารัฐเองตอนนี้ก็วุ่นหนัก เพราะเป็นพรรคที่รวมสารพัดก๊กสารพัดกลุ่มเพื่อรวมการเฉพาะกิจจนกวาดเก้าอี้ ส.ส.มาถึง 116 ที่นั่ง จะยกเก้าอี้ไปให้พรรคร่วมรัฐบาลหมด ไม่เหลือให้คนในบริหาร มันจะเป็นสนิมเกิดแต่เนื้อในตน 

                โดยเฉพาะเรื่องโควตา อัตราส่วน ส.ส. 7 คน ต่อ 1 รัฐมนตรี ที่ว่าจะให้กับพรรคร่วม หลายกลุ่มก๊วนในพรรคพลังประชารัฐก็ออกอาการน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะแต่ละกลุ่มในพรรค กวาด ส.ส.กันได้เกินจำนวนโควตาดังกล่าวด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ได้รับการดูแล แบบนี้จะไปรอดมั้ยเนี่ย

                นาทีนี้ผู้มีอำนาจนอกพรรค เลยให้นักการเมืองเองไปเจรจาพาทีกันให้จบ ลองจัดสรรกันมาให้ได้ โดยไม่แตะต้อง เพราะสุดท้ายแล้ว มันต้องจบที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากผ่านด่านได้รับฉันทานุมัติจากที่ประชุมรัฐสภามาได้ เพราะเป็นคนนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย หักหรือไม่หัก ยอมหรือไม่ยอม จะเห็นกันตอนนั้น ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสถานการณ์ต่อไป

                หรือบางทีการโหวตนายกฯ มันก็จะเป็นอีกตัวสะท้อนว่า การเจรจาจบแล้วหรือยัง เพราะต้องโหวตกันอย่างเปิดเผย เห็นหน้าคร่าตาและสังกัด หาก “ประชาธิปัตย์” และ “ภูมิใจไทย” ยกมือให้ “บิ๊กตู่” นั่นแสดงว่า ปิดดีลกันไปเรียบร้อยแล้วโรงเรียนจีน แต่หากงดออกเสียง หรือไม่เห็นชอบ ทีนี้งานเข้า ต้องเปิดโต๊ะคุยกันยาว

                ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา หลังมีอาการพ่อแง่ แม่งอน พอขันหมากจากพรรคพลังประชารัฐถึงเรือนชาน บรรยากาศนี่ชื่นมื่น เช้าวันนี้เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรคแบบเช้าตรู่ เพื่อเคาะว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมหลังพรรคใหญ่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ต้องลุ้นอะไรมาก เพราะชาติไทยพัฒนาแม้จะมาในยุคทายาทอย่าง “กัญจนา–วราวุธ” ศิลปอาชา สั่งสมวิชาจากผู้เป็นพ่อมาเยอะ รู้ว่าในปริมาณ ส.ส.ที่มีเท่านี้ และสถานการณ์แบบนี้ ไปเป็นฝ่ายค้านคงไม่เหมาะ

                มาแล้วอีกหนึ่งจอมยื่น “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 10 ราย กรณีถือหุ้นสื่อ แต่งานนี้ระวังหยิกเล็บจะเจ็บเนื้อ เพราะก่อนหน้านี้ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือ “ผู้กองปูเค็ม” เคยไปยื่นให้ กกต.ตรวจสอบผู้สมัคร ส.ส.เกือบ 40 คน ฝ่ายเสื้อคลุมประชาธิปไตย ในลักษณะเดียวกัน คือ จดวัตถุประสงค์เอาไว้กว้างๆ แต่ไม่ได้ทำในทางปฏิบัติ ผิดกับกรณีของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ งานนี้ ถ้าประชาธิปัตย์โดน อีกฝั่งก็ตายเรียบ

                ศึกสองนางสิงห์ ระหว่าง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กับ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ดูจะไม่ดุเดือดเท่าแฟนคลับของทั้งสองฝ่าย ที่ต่างยกข้อดี ขุดข้อเสีย ของอีกฝ่ายมาเบิลบลัฟกันจนบานปลาย ทั้งที่จริงๆ เป็นการปะทะคารมกันธรรมดาของ ส.ส. และมีอารมณ์ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องปกติทางการเมืองไทย หากสังคมไม่ได้สาระอะไรจากเรื่องนี้ก็น่าจะหยุด หันไปตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาประชาชน เพราะนั่นคือ บทพิสูจน์ว่า ใครของจริง!

                ทีมงานก้าวคนละก้าวโดนดรามาเล่นงานอีกแล้ว หลัง “ตูน บอดี้แสลม” หรือ อาทิวราห์ คงมาลัย พร้อมเพื่อนๆ ทีมก้าวคนละก้าว กำลังจะเริ่มกิจกรรมวิ่งผลัดบนเส้นทางจังหวัดหนองคาย-ขอนแก่น ในเวลา 48 ชั่วโมง วันที่ 15-16 มิถุนายนนี้ เพื่อช่วยเหลือ 8 โรงพยาบาลในชุมชนภาคอีสาน แต่ดันมีนักเลงคีย์บอร์ดไปรุมแขวะว่า ไร้เดียงสาบ้าง เป็นเครื่องมือฝ่ายการเมืองบ้าง ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องบ้าง เหมือนกับตอนที่วิ่งจาก อ.เบตง จ.ยะลา ไป อ.แม่สาย จ.เชียงราย คราวก่อน ซึ่งความเห็นเป็นสิ่งที่แตกต่างกันได้ แต่บรรดาผู้เห็นต่างทั้งหลายก็ไม่ใช่ไปตัดกำลังใจกัน ในเมื่อทีมงานมีเจตนาที่ดีและพิสูจน์มาให้เห็นแล้ว บางทีก็นึกถึงคำ มารไม่มี บารมีไม่เกิด!