เจ้าหน้าที่บังคับคดีถือคำพิพากษาศาลฎีกาจะเข้าตรวจสอบทรัพย์สินวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน แต่คว้าน้ำเหลวถูกกลุ่มลูกศิษย์อดีตเจ้าอาวาสรวมตัวขัดขวาง
30 พ.ค.62 - ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีปัญหาภายในวัดหิรัญยาราม หรือ วัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ตำบลบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ยังคงยืดเยื้อต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปีจนถึงวันนี้ยังวุ่นวายไม่เลิกเป็นคดีความขึ้นศาลนับสิบคดี
ล่าสุด เจ้าหน้าที่บังคับคดีปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาเพื่อจะเข้าตรวจสอบทรัพย์สินและโบราณวัตถุรวมถึงวัตถุมงคลเพื่อส่งมอบให้รักษาการเจ้าอาวาสที่มาโดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าต้องคว้าน้ำเหลวอีกครั้งเมื่อกลุ่มลูกศิษย์ของอดีตเจ้าอาวาสรวมตัวขัดขวางไม่สนใจกฎหมาย สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องล่าถอย
นายเสฏฐวัฒน์ ไชยภักดี นิติกรชำนาญการ สำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิจิตร พร้อมด้วยนายกิติศักดิ์ แก้ววิเชียร ผู้อำนวยการกลุ่มคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองรวมแล้วกว่า 50 นายได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยถือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5558/2561 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2561 ความแพ่ง ซึ่งมีพระครูพิสุทธิวรากร รักษาการเจ้าอาวาสวัดบางคลาน เป็นโจทก์ และมีพระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคลาน เป็นจำเลยที่ 1 และพวกอีก 9 คน รวมเป็นจำเลยทั้ง 10 คน ถูกฟ้องในคดีแพ่ง
ทั้งนี้ เนื่องจากอดีตรักษาการเจ้าอาวาสได้ถูกคำสั่งให้พักจากตำแหน่งหน้าที่และจะต้องส่งมอบการครอบครองทรัพย์สิน การเงิน การบัญชี ทะเบียนพัสดุครุภัณฑ์ พร้อมหลักฐานการก่อสร้างและวัสดุให้แก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าอดีตเจ้าอาวาสและพวกลูกศิษย์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นกรรมการวัดและมิใช่กรรมการวัด ต่างรวมตัวกันขัดขวางและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จนมีการต่อสู้คดีจนถึงศาลฎีกา
โดยศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 คือ พระครูวิสิฐสีลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสต้องส่งมอบสมุดบัญชีทรัพย์สิน รายรับรายจ่าย พัสดุเอกสาร สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร บัญชีการจำหน่ายวัตถุมงคลของวัด และห้ามจำเลยทั้งสิบขัดขวางการดำเนินการกิจการของวัดและกิจการคณะสงฆ์ ห้ามเปิดตู้บริจาคใช้เงินทุกตู้ และห้ามยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของวัดจากรายได้
ดังนั้น สำนักงานบังคับคดีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจึงได้ถือปฏิบัติตามคำพิพากษาเพื่อจะเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สิน วัตถุมงคลและบัญชีการเงินต่างๆ แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงที่วัด ก็ได้มีกลุ่มบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นชาวบ้านและลูกศิษย์อดีตเจ้าอาวาสเกือบ 100 คนยืนขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่บังคับคดีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นไปยังกุฏิที่เป็นศาลาไม้และเป็นที่เก็บวัตถุมงคลและอื่นๆบนศาลาพร้อมทั้งตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่ โดยใช้คำไม่เหมาะสมต่างๆนานา พร้อมทั้งก่อความวุ่นวายส่งเสียงดังเอะอะไปหมด
เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองก็ทำได้แค่ยืนดู ไม่สามารถห้ามปรามได้ เจ้าหน้าที่บังคับคดีพิจิตร และ ผอ.กลุ่มคุ้มครองพระพุทธศาสนา พศ. พยายามไกล่เกลี่ยชี้แจงเหตุผลรวมถึงข้อกฎหมายว่าทำตามคำสั่งศาล แต่พวกกลุ่มต่อต้านกลับไม่เชื่อฟัง
จนในที่สุด นายเสฏฐวัฒน์ ไชยภักดี นิติกรชำนาญการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดพิจิตร ต้องประกาศยอมยกธงขาว เนื่องจากเกรงว่าหากจะใช้กำลังสลายฝูงชนเพื่อเข้าตรวจทรัพย์สินของวัดตามคำสั่งศาลฎีกา ก็อาจจะเป็นบ่อเกิดของความวุ่นวาย อีกทั้งเกรงว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะไม่ได้รับความปลอดภัย จึงขอยุติการดำเนินการดังกล่าว
จากนั้น นายเสฏฐวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวจะได้ทำรายงานศาลต่อไปเพื่อให้ศาลดำเนินการออกหมายเรียกจำเลยมาทำการไต่สวน ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายพิจารณาความแพ่ง ซึ่งโจทก์ก็คือ รักษาการเจ้าอาวาสวัดหรือตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจสามารถใช้สิทธิทางศาลได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงของดทำการส่งมอบบัญชีและทรัพย์สินเนื่องจากสถานการณ์เกิดความวุ่นวายและมีผู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าว เพราะหากเจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
ร.ต.ท.สมชัย สุทธิสน ข้าราชการบำนาญ ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ได้รับมอบอำนาจจากรักษาการเจ้าอาวาสวัด กล่าวว่า จากเหตุการณ์ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าตรวจสอบทรัพย์สินได้ เนื่องจากมีผู้มาขัดขวาง อีกทั้งจำเลยที่ 1 คือ อดีตเจ้าอาวาสก็ไม่อยู่พบเจ้าหน้าที่บังคับคดี ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็จะได้ไปยื่นเรื่องและทำรายงานให้ศาลทราบ เพื่อจะได้ออกหมายเรียกให้มาทำการไต่สวน แต่ถ้าขัดหมายเรียกจากคดีแพ่งก็จะกลายเป็นคดีอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกอีกด้วย
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |