คำนิยามของคำว่า "งูเห่า" ในการเมืองไทย ย่อมหมายถึงการกระทำใดๆ ที่ฝืนมติพรรคของตนให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง
ดังนั้น การแปลงตนเป็น "งูเห่า" ในความหมายนี้ ย่อมแปลว่าจะต้องได้ประโยชน์ส่วนตน และมองเห็นประโยชน์แห่งหลักการน้อยกว่าสิ่งที่ตนได้
ความหมายต่อมาก็คือ "งูเห่า" เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ทำให้การเมืองไทยสกปรกโสโครก และเป็นรอยด่างในระบอบ "ประชาธิปไตย"
แต่ไฉนจึงยังเกิดปรากฏการณ์งูเห่าได้ในวันนี้
คำตอบคือ รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันเอื้อต่อการให้เกิดงูเห่า เพื่อให้กลุ่มผู้มีอำนาจและเงินสามารถจะ "กวาดต้อน" นักการเมืองที่พร้อมจะเป็นงูเห่ามาอยู่ฝ่ายตนเพื่อเอาชนะในการต่อรองทางการเมือง
เพราะเนื้อหาแห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 ฉบับนี้ยกเลิกเงื่อนไขที่ว่า ส.ส.จะต้องทำตามมติของพรรคในการลงคะแนนเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับมติใดๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่า ส.ส.แต่ละคนสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ว่าจะยกมือให้ใครหรือพรรคไหน
ตีความได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนาที่จะไม่ให้ระบบพรรคการเมืองเข้มแข็ง ไม่ต้องการให้นักการเมืองมีวินัย และเปิดทางให้มีการ "ซื้อขายความจงรักภักดี" กันได้อย่างเปิดเผย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อมีการเปิดเผยจาก ส.ส.บางคนว่า มีการเสนอราคาซื้อเสียงของเขาในการลงมติในสภาในอัตราที่สูงอย่างเหลือเชื่อ
เช่นกรณีของคุณสมัคร ป้องวงษ์แจงยิบว่า มีคนเสนอผลประโยชน์ 20-50 ล้านบาทให้แปลงร่างเป็นงูเห่าโหวตหนุนฝ่ายตรงข้าม
ข่าวชิ้นนี้เขียนไว้อย่างนี้
26 พ.ค.62 นายสมัคร ป้องวงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคอนาคตใหม่ กล่าวยอมรับว่าได้รับการติดต่อจากบางคนเสนอผลประโยชน์ให้สูงถึง 20 ล้านบาท แลกกับการเป็นงูเห่าให้โหวตสวนมติพรรค
"เงินจำนวน 20 ล้านบาท มีการแบ่งออกเป็น 6-7-7 ก้อนแรกสำหรับการโหวตเลือกประธานสภาฯ ส่วนที่สองคือโหวตเลือกนายกฯ และส่วนสุดท้ายให้ถือเป็นโบนัสเหมือนให้เปล่า จ่ายเป็นก้อนทั้งหมดให้ครั้งสุดท้ายหากกล้าโหวตสวน" ส.ส.จากอนาคตใหม่กล่าว
"ผมได้รับการติดต่อ จนกระทั่งคืนวันสุดท้าย ก่อนวันโหวตเลือกประธานสภาฯ หนึ่งวัน เสนอให้ถึง 20 ล้านบาท แต่พอไปถามพรรคพวกบางคน ของผมกลายเป็นน้อยกว่าเขา ยังแอบน้อยใจเล็กๆ เพราะบางคนมีการเสนอตัวเลขเริ่มต้นให้ถึง 50 ล้านบาทเลย ถ้ากล้าตัดสินใจเป็นงูเห่า"
นายสมัครกล่าวว่า "แม้การโหวตเลือกประธานสภาฯ เสียงในซีกพวกเราจะหายไป แต่ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่มั่นใจไม่มีใครเป็นงูเห่าอย่างแน่นอน ทุกวันนี้เปรียบเหมือนกินข้าวหม้อเดียวกันแล้ว นั่งมองม่านตากันทุกวัน ใครมีพิรุธมันก็ต้องออกมาบ้าง แต่ในวันนี้ยังไม่เห็น จึงมั่นใจในอนาคตใหม่ไม่มีงูเห่าแน่นอน"
หลังจากนั้นผมก็เห็นข้อความนี้ในเฟซบุ๊กของคุณฟูอาดี้ พิศสุวรรณ ลูกชายของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์
คุณฟูอาดี้เขียนว่าอย่างนี้
"ตอนที่พรรคหนึ่งกำลังเกิดขึ้นมาใหม่ คุณพ่อเคยเล่าว่าเขาได้ข้อเสนอ 30 ล้านบาทให้ย้ายพรรค (แน่นอนพ่อปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด) ตอนนั้นคนออกไปจาก ปชป.เยอะมาก ถ้าใช้ปีนั้นเป็น base year ปีนี้ 62 ผ่านไปเกือบ 20 ปี ราคารวมเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ 45 ล้านบาทต่อหัว ซึ่งที่ได้ข่าวมาก็ราคาประมาณนั้น เขาคิดกันตามหลักเศรษฐศาสตร์ดีจัง ถ้าใครรับข้อเสนอต่ำกว่านั้นแสดงว่าตก Econ 101 และที่แน่นอนได้ F วิชา Ethics 101 ไปตั้งแต่ต้องคิดว่าจะรับไม่รับแล้ว
ไม่ว่าจะฝั่งไหนแทนที่จะเป็น 'งูเห่า' ที่รับเงินเขามาแล้วแปรพรรค ขอให้เป็น 'พญานาค' ที่ทำไปเพราะความเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องและคิดว่าดีกับประเทศชาติจริงๆ เพราะอย่างหลังนี่มันโต้เถียงและแลกเปลี่ยนทางความคิดกันได้ แต่ถ้าไปเพราะอำนาจเงินก็จบอนาคตประเทศแค่ตรงนั้น"
เมื่อนักการเมืองต้องลงทุนเพื่อซื้อเสียงสนับสนุนฝ่ายตนสูงเพียงนี้ คำถามแรกก็คือว่า เมื่อการเมืองกลายเป็นเรื่อง "การลงทุน" ก็ย่อมจะต้องหวัง "ผลตอบแทน" หรือที่ภาษาการเงินการลงทุนเรียก Return on Investment หรือ ROI เพื่อประเมิน "การคุ้มค่าของการลงทุน"
ภาษาการเมืองไทยเรียกว่า "ถอนทุน"
เพียงแค่ได้เงินที่ลงทุนกลับมายังไม่พอ ต้องมี "ผลตอบแทนจากการลงทุน" ด้วย
อย่างนี้เราจะหวังว่าใครที่ได้อำนาจด้วยวิธีนี้จะปลอดจากคอร์รัปชันได้อย่างไร
ไม่ต้องวิเคราะห์ให้ยากก็ได้คำตอบแล้วใช่ไหมครับ?
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |