แด่...พลเอกเปรม ติณสูลานนท์


เพิ่มเพื่อน    

 เพิ่งเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมานี่เอง...รัฐบุรุษอย่าง ป๋าเปรม ท่านยังสามารถยืนตัวตรง ให้คติ ให้สติ และให้แนวทางแก่บรรดาผู้บริหารชาติ บ้านเมือง ได้อย่างชนิดชัดถ้อย ชัดคำ เป็นประโยชน์ เป็นสาระ แม้ว่าอายุ อานาม จะปาเข้าไปเกือบจะครบศตวรรษเข้าไปแล้ว จนเป็นที่อิจฉาต่อบรรดาคนแก่ คนชรา ทั้งหลาย เป็นจำนวนไม่น้อย...

                                                           ----------------------------------------------------

                แต่เมื่อถึงตอนที่ท่านต้องจากไป...ก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าอิจฉาไม่น้อยไปกว่ากัน คือถ้าว่ากันตามรายงานข่าว จากผู้รับใช้ ใกล้ชิด ดูเหมือนว่า... ป๋า ท่านจะหลับสนิทนิทราไปแบบเงียบๆ เรียบๆ โดยไม่คิดจะตื่นขึ้นมาอีกเลย ไปกันแบบสบายๆ แบบสงบนิ่ง สงบเย็น ไม่ต้องเสียเวลาดิ้นรนกระวนกระวาย แบบคนแก่ คนชรา รายอื่นๆ ชนิดต้องเรียกว่า...ช่างเป็นอะไรที่มี บุญ ซะเหลือเกิน สำหรับรัฐบุรุษและประธานองคมนตรีท่านนี้ อันอาจถือเป็นผลสะท้อนของ กรรม หรือสิ่งที่ท่านได้กระทำเอาไว้ต่อผู้อื่น ต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น กุศลกรรม อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

                                                             -------------------------------------------------------

                ภายใต้ช่วงชีวิตระดับใกล้ๆ ร้อยปี หรือ 99 ปีของ ป๋าเปรม นั้น...ท่านได้ผ่านโลกที่มีความผันผวน ปรวนแปร อย่างฉกาจกรรจ์ อย่างน้อย...ก็น่าจะประมาณ 2 ช่วงด้วยกัน คือโลกในยุคที่ คอมมิวนิสต์ กับ ทุนนิยม กำลังฟาดฟันกัน ชนิดถึงกับแบ่งโลกออกเป็น 2 โลก หรือแม้แต่ 3 โลก เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่แม้ว่าท่านจะมีหน้าที่ ความรับผิดชอบ ในการ ต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ตามวิชาชีพความเป็นนักการทหารแห่งกองทัพไทย แต่โดยจุดยืน-กรรมวิธี-และทัศนคติ ในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ท่านคิดจะหันไปอาศัย อกุศลกรรม ใดๆ เป็นเครื่องมือเอาเลยแม้แต่น้อย...

                                                              ------------------------------------------------------

                แต่กลับหันไปใช้ ธรรมะ หรือหันไปใช้ กุศลธรรม   นั่นแหละเป็นหลัก ด้วยความพยายาม เข้าถึง และ เข้าใจ  ถึงที่มา-ที่ไป ถึง เหตุปัจจัย อันก่อให้เกิดบรรดาผู้ซึ่งถูกเรียกขานกันในนามคอมมิวนิสต์ ปรากฏตัวขึ้นมาในสังคมไทย อย่างละเอียด รอบคอบ กันจริงๆ คำสั่งนโยบายที่ 66/23 ที่อุบัติขึ้นมาในช่วงจังหวะแบบพอดิบ พอดี หรือช่วงจังหวะที่ โลกคอมมิวนิสต์ เริ่มจะแตกออกไปเป็นเสี่ยงๆ มันจึงกลายเป็นทั้งโชคดีของสังคมไทย และเป็นบุญ เป็นกุศล ของ ป๋าเปรม ท่าน อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

                                                              -------------------------------------------------------

                แต่หลังจากที่โลกคอมมิวนิสต์ได้แตกสลายกันไปแทบทั้งสิ้น...เหลือแต่ โลกทุนนิยม ล้วนๆ แถมยังเป็นทุนนิยมที่พยายามขับเคลื่อนให้เกิด โลกาภิวัตน์ เพื่อสนองตอบต่อ ทุนนิยมเสรี เป็นด้านหลัก ทุนนิยมเสรีในแบบที่พร้อมจะลอดรัฐ-ข้ามรัฐ พร้อมที่จะกลืนกินอำนาจอธิปไตยของรัฐบาลท้องถิ่น พร้อมที่จะทำลายเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ของความเป็นชาติในแต่ละชาติพร้อมที่จะสร้างความเสื่อมสลายให้กับวัฒนธรรม ประเพณี ภายในสังคมแต่ละสังคม แล้วแทนที่ด้วย วัฒนธรรมบริโภคสากล ภายใต้คำขวัญที่แทบไม่ต่างอะไรไปจาก มายาภาพ ไม่ว่าประเภท... ประชาธิปไตย-เสรีภาพ-หรือสิทธิมนุษยชน อะไรประมาณนั้น ความพยายามประคับประคองประเทศชาติ บ้านเมือง ให้อยู่รอดปลอดภัย ภายใต้สภาวะเช่นนี้ จึงเป็นอะไรที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปใหญ่...

                                                          --------------------------------------------------------

                แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ นายกรัฐมนตรี ตามแบบฉบับ ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรืออยู่ในฐานะองคมนตรีและประธานองคมนตรี สิ่งที่ ป๋าเปรม ท่านมักนำมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ไปตามรับความผิดชอบในแต่ละสถานะ ก็หนีไม่พ้นไปจาก ธรรมะ หรือ กุศลธรรม อีกนั่นแล ไม่ว่าความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย นั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง ชอบธรรม คุณธรรม และศีลธรรม ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบฝรั่งชนิดทั้งดุ้น ทั้งด้าม ไม่ใช่เสรีภาพที่ไม่คำนึงถึงปัญญาและคุณธรรมความพยายามดำรงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของความเป็นชาติ ด้วยการปลุกจิต ปลุกใจ ปลุก จิตวิญญาณ ของผู้ที่เกิดและเติบโตในแผ่นดินไทย ให้ตระหนักและสำนึก ถึงการ ใช้หนี้แผ่นดิน ไปจนถึงความพยายามกระตุ้นให้ ความเป็นไทย สามารถดำเนินควบคู่ไปกับ ความเป็นธรรม ให้จงได้...ฯลฯ...

                                                            ----------------------------------------------------------

                อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่แหละ...ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สอดคล้อง-ไม่สอดคล้องไปกับกาลสมัย ไม่ว่า ก้าวหน้า หรือ อนุรักษ์ แต่ล้วนอาศัย ธรรมะ หรือคุณธรรม ศีลธรรม เป็นเครื่องรองรับเอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น ช่วงชีวิตตลอดเกือบร้อยปี หรือ 99 ปี ของ ป๋าเปรม จึงน่าที่จะดำเนินไปภายใต้ กุศลธรรม นั่นแหละเป็นหลัก เลยถึงกับไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใด บุญ และ บารมี ของ ป๋า ไม่ว่าขณะยังมีชีวิตอยู่ หรือขณะต้องจากไป จึงเป็นอะไรที่น่าอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง...

                                                             ------------------------------------------------------------

                อย่างไรก็ตาม...การที่ท่านได้ตัดสินใจลา-ละ-สละไปจากโลกนี้ ย่อมต้องถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ สูญเสีย ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ผู้เคยเป็นเสมือน เสาหลัก ของสังคม อีกทั้งยังเป็นการสูญเสียภายใต้สภาวะที่ประเทศไทย สังคมไทย กำลังต้องเผชิญหน้ากับ โลกยุคใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงไปจาก 2 ยุคที่ว่าอยู่ไม่น้อย โลกที่ เทคโนโลยี กำลังทำให้ปวงประดา จิตวิญญาณ ทั้งหลาย มีแต่ต้องเสื่อมสลายลงไปเรื่อยๆ โลกที่คุณธรรม ศีลธรรม ตกอยู่ในสภาพสับสน ระส่ำระสาย โลกที่แทบไม่เหลือ พื้นที่กลางๆ เอาไว้ให้ยืน บรรดาผู้ที่พร้อมจะ ใช้หนี้แผ่นดิน ทั้งหลาย จึงคงต้องยึดป๋าเปรม เป็นแบบอย่าง เพื่อสืบทอดแนวทางและเจตนารมณ์ดังกล่าว เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้...

                                                             ----------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก พระราชนิพนธ์ ร.6... ประวัติวีรบุรุษไซร้-เตือนใจ-เรานา, ว่าเราก็ยังชนม์-เลิศได้, แลยามจักบรรลัย-ทิ้งซึ่ง, รอยบาทเหยียบแน่นไว้-แทบพื้น-ทรายสมัย...

                                                               ------------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"