ภาพนี้เห็นชัดเจนว่านายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของหัวเว่ย มีความสนิทสนมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อหัวเว่ยเจอศึกหนักจากกูเกิล ก็ย่อมแปลว่านั่นเป็นสงครามของสี จิ้นผิงกับโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตั้งแต่ลูกสาวของเหริน เจิ้งเฟย ที่ชื่อ "เมิ่ง หวั่นโจว" ถูกเจ้าหน้าที่แคนาดาจับตามคำร้องขอของสหรัฐฯ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เขาก็ปรับท่าทีต่อสื่ออย่างเห็นได้ชัด ออกมาตอบคำถามของนักข่าวโดยเฉพาะสื่อตะวันตกอย่างร้อนแรง
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจยักษ์จีนมักจะเก็บเนื้อเก็บตัว ยกเว้นแจ็ก หม่าแห่งอาลีบาบา ที่กลายเป็นโฉมหน้าของมหาเศรษฐีจีนที่โลดแล่นอยู่ในเวทีระหว่างประเทศอย่างคึกคักมาตลอด
ล่าสุดเมื่อ Google ประกาศตัดสัมพันธ์กับ Huawei เหริน เจิ้งเฟยก็ออกมาสำทับว่าอเมริกา "ประเมินจีนต่ำไป"
และยืนยันว่าอย่างไรเสียจีนก็จะไม่มีทางยอมก้มหัวให้สหรัฐฯ หากยังใช้วิธีการ "ข่มเหงรังแก" จีนเช่นนี้
คำประกาศของเขาดุดันกว่าผู้นำจีนหลายเท่า และร้อนแรงกว่าที่สื่อจีนออกมาปะฉะดะกับสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ
เหริน เจิ้งเฟยปีนี้อายุ 74 แต่ยังบริหารหัวเว่ยวันต่อวันอย่างไม่ลดละ ยิ่งมีเรื่องตึงเครียดกับสหรัฐฯ เขาก็ยิ่งออกโรงอย่างไม่เกรงใจมะกันมากขึ้น
"ผมได้เสียสละส่วนตัวและครอบครัวเพื่อบรรลุเป้าหมายของการไปยืนตระหง่านอยู่บนยอดโลก และการจะบรรลุเป้าหมายนี้ ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" เขาบอกนักข่าวจีนกลุ่มหนึ่งเมื่อวันก่อน
ทรัมป์ได้ใช้อำนาจบริหารประกาศห้ามบริษัทสหรัฐฯ ค้าขายและมีปฏิสัมพันธ์กับหัวเว่ย เพราะบริษัทนี้ "มีกิจกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ"
เขาบอกว่าการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศให้เวลา "หายใจ" 90 วันนั้น "ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเรา"
อีกทั้งยังสำทับว่าหัวเว่ยได้ตระเตรียมการเพื่อตั้งรับสถานการณ์นี้มาแล้ว ด้วยการสต็อกชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์ของหัวเว่ยจากสหรัฐฯ และแหล่งอื่นๆ มาอย่างน้อยหนึ่งปีก่อนหน้านี้
ฟังน้ำเสียงของซีอีโอหัวเว่ยอย่างนี้ก็ต้องเชื่อว่าได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลจีนให้ลุยต่อ ขณะที่ทางการก็พยายามรื้อฟื้นการเจรจาระดับรัฐมนตรีต่อไปเพื่อไม่ให้เสียศักดิ์ศรีของชาติ
สี จิ้นผิงส่งสัญญาณถึงอเมริกาชัดเจนว่าจะตอบโต้ทุกวิถีทาง...เช่นเดินทางไปตรวจงานที่เหมืองสินแร่หายากที่เรียกว่า rare earth ที่มณฑลจีนแห่งหนึ่งในจังหวะที่การเผชิญหน้ากับอเมริกากำลังร้อนแรงอยู่
สินแร่หายากประมาณ 17 ชนิดเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ที่สหรัฐฯ ใช้ แม้ว่าจะมีหลายประเทศที่ผลิตสินแร่ที่ว่านี้ แต่จีนเป็นแหล่งวัตถุดิบประเภทนี้มานาน ดังนั้นหากจีนระงับการส่งขายให้สหรัฐฯ ก็ย่อมจะทำให้อุตสาหกรรมไอทีของอเมริกาสะดุดได้เช่นกัน
ที่น่าสนใจคือ คนที่เดินเคียงคู่ไปกับสี จิ้นผิงในการตรวจเหมืองสินแร่ครั้งนี้คือ รองนายกฯ หลิว เฮ่อ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมการเจรจากับสหรัฐฯ ในการหาทางลงจากสงครามการค้าด้วย
ข่าววงในบอกว่าสาเหตุที่การเจรจาระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งล้มเหลว ก็เพราะจีนไม่ยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ ต้องการให้ระบุไว้อย่างชัดเจนในร่างข้อตกลง
ร่างแรกที่อเมริกาส่งมามีความยาวถึง 150 หน้า แต่พอส่งไปถึงฝ่ายจีน ร่างแก้ไขที่ส่งกลับไปวอชิงตันถูกฝ่ายจีนหั่นลงเหลือเพียง 105 หน้า
ทรัมป์จึงกริ้ว เขียนข้อความขึ้นทวิตเตอร์ สั่งดับเครื่องชนจีนทันที...จนลามไปถึงการสั่งให้ Google ตัดญาติขาดมิตรกับ Huawei
แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นเพียงกลยุทธ์ของทรัมป์ในการกดดันจีนให้ยอมตกลงสงบสงครามการค้า และยอมลดราวาศอกเรื่องการพัฒนา 5G ที่กำลังทำท่าว่าจะแซงหน้ามะกันไปหลายขุมมากกว่า
เกมนี้เพิ่งเริ่มต้นจึงต้องเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด ต้องดูกันยาวๆ ครับ เพราะไม่มีใครได้แต่เพียงฝ่ายเดียว และไม่มีใครยอมเสียหายเกินกว่าที่ตนจะยอมรับได้!
เมื่อซีอีโอหัวเว่ยออกมาตอกย้ำว่าเมื่อเขามีเป้าหมายเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ความขัดแย้งกับสหรัฐฯ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือเขากำลังประกาศว่า
"กูไม่กลัวมึง"!
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |