บอกได้คำเดียวว่า “ร้อนฉ่า” สวนทางกับสภาพอากาศที่ย่างสู่ฤดูฝนอย่างแท้จริง นั่นคือการจับไม้จับมือในการจัดตั้ง ”รัฐบาล" ซึ่งแม้จะกำหนด รัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งแรกของรัฐสภา (ปี 2562) ณ ห้องประชุมวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ ในวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม แล้วก็ตามที แต่ดูเหมือนการจับขั้วก็ยังไม่ลงเอยแบบสะเด็ดน้ำเสียที แม้จะรู้กันทั้งบางแล้วว่าไม่ว่า ใครจะจับมือกับใคร สุดท้ายแล้ว นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยก็ยังเป็น “คนหน้าเดิม” คือนายกฯ คนที่ 29 “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นั่นแล...๐ ฉะนั้นจึงไม่ต้องคิดอะไรมากว่า “ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย” รวมถึง “ชาติไทยพัฒนา” หรือ “ชาติพัฒนา” จะเลือกไปอยู่กับฝ่ายใด เพราะต้องไม่ลืม “อมตะวาจา” ของนายกฯ คนที่ 21 ของไทยอย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังถือเป็น “ม็อตโต้” ที่แท้ทรูจริงๆ นั่นคือ “การเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง” งานนี้จึงเชื่อหัวไอ้เรืองเถอะว่าเส้นทางของพรรคที่ยังไม่แสดงท่าทีนั้น สุดท้ายแล้วจะเลือกใครระหว่าง “พลังประชารัฐ” และ “เพื่อไทย-อนาคตใหม่”...๐

เหมือนกับที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ซึ่งโพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “เกลียดความจริง โปรดอย่าอ่าน” นั่นแล ที่ได้ไล่เรียงเบื้องหน้าเบื้องหลังของแต่ละพรรคการเมืองที่เป็นประเด็นในช่วงเพลานี้ ซึ่งต้องบอกว่า “เสี่ยอ่าง” มองขาด แต่จะเป็นจริงหรือไม่คงต้องติดตามกันต่อไป โดยเฉพาะ กรณีฟันธงว่า 6 เดือนก็มีการเลือกตั้งใหม่แล้ว...๐ ที่น่าสนใจในการวิเคราะห์ของ “ชูวิทย์” อีกประการหนึ่งคือ กรณี “อนาคตใหม่” ที่บอกว่าเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ที่สำคัญพังเพราะหุ้นและพังเพราะปากไม่มีหูรูดของหัวหน้าพรรค “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แหม! แสดงว่า “เสี่ยชูวิทย์” ยังไม่ฟังกูรูกฎหมายหรือกุนซือพรรคอย่าง “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคที่ฟอกขาวหัวหน้าทั้ง 2 เรื่อง ที่สำคัญยังลากหลากพรรคการเมืองอื่นๆ มามี “พฤติกรรม” ในการกู้เงินเหมือนกันด้วย ไม่รู้ว่าเป็น “ตลกร้าย” ของปิยบุตรหรือไม่ เพราะการอ้างชื่อพรรคต่างๆ นั้นกลับไม่ลงรายละเอียดว่ากู้มาเพื่ออะไร และกู้ใคร เรียกว่าเป็น สไตล์นักการเมืองของแท้ทรูเสียแล้ว ที่ชอบใช้มุก “ข้าชั่วเองก็เลว” ที่สำคัญยังทิ้งทุ่นให้สังคมกังขาแบบตีหัวเข้าบ้านอีก นี่หรือนักการเมืองของคนยุคใหม่...๐

ไม่ต่างจากโฆษกพรรคอย่าง “พรรณิการ์ วาณิช” แต่ประการใด เพราะได้ทวีตข้อความในเรื่องการแถลงของ “ปิยบุตร” โดยเฉพาะในเรื่องกรณีหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ “ธนาธร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ ว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากยังไม่ได้ปฏิญาณตน ยังไม่ได้เข้าทำหน้าที่” ซึ่งที่พีกสุดๆ คือ “พรรณิการ์” ทวีตว่า “ธนาธรยังมีสิทธิ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ดี เพราะนายกฯ ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.” พระเจ้าจอร์จ! นายกฯ คนนอกก็มาได้ด้วย หากเป็นชื่อ “ธนาธร” แล้วที่เคยประกาศลั่นก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งเล่าถูกโยนทิ้งไปไหน หรือเห็นว่า “หัวหน้าพรรค” ฉีกสัตยาบัน 7 พรรคที่เคยประกาศไม่เป็นนายกฯ มาแล้วทำได้ ตอนนี้อะไรๆ ก็เลยไม่ต้องสนใจว่าอย่างงั้นใช่ไหมโฆษกคนงาม...๐

อีกพรรคหนึ่งที่ ระอุไม่แพ้กัน คือ “ประชาธิปัตย์” แต่กรณีของพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการทำตัวเองแท้ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่ประการใด เพราะพรรคการเมืองเก่าแก่สารพัดเรื่องสารพัดราวก็ย่อมสะสมมานาน ไม่เชื่อลองหันไปดู นักการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งหลายที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มาจากโรงเรียน ปชป.ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “ดอกเตอร์เฉลิม อยู่บำรุง” “นพดล ปัทมะ” หรือแม้แต่ “วีระ มุสิกพงศ์” ซึ่งปัจจุบันความขัดแย้งใน ปชป.ก็สะสมมาตั้งแต่การเลือกหัวหน้าพรรคก่อนการเลือกตั้งแล้ว และก็มา พีกสุดๆ หลังเลือกตั้งที่ได้ “จุรินทร์ อเวนเจอร์” มานั่งหัวหน้า แล้วต้องมาเลือกเดินในทางสองแพร่ง ในการร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเชื่อว่าไม่ว่า “ปชป.” จะ เลือกทางใด รอยร้าวในพรรคก็ยากประสาน แล้วเราก็อาจได้เห็นกลุ่ม 10 มกราในยุค 4จีก็เป็นได้ แต่ครานี้อาจเป็นบรรดาเลือดใหม่ที่จะตบเท้าบ๊ายบายสถาบันการเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้...๐

ทิ้งท้ายด้วยข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเพื่อนบ้านอย่าง “อินโดนีเซีย” กันบ้าง ซึ่งผลการเลือกตั้ง “โจโก วิโดโด” ยังคงชนะทำหน้าที่ต่อเป็นสมัยที่ 2 ได้ไป 55.5% ของคะแนนทั้งหมด ส่วนคู่แข่งอดีตผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ “พล.อ.ปราโบโว สุเบียนโต” ได้ไป 45.5% แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับผลการเลือกตั้งจนเกิดเหตุจลาจล และทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 6 ราย และบาดเจ็บกว่า 200 คน พี่ไทยทั้งหลายน่าจะดูกันไว้เป็นตัวอย่าง และสำเหนียกให้ดีว่า แม้ไทยจะอ้างมีฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจกับฝ่ายประชาธิปไตย (เพียงชื่อ) แต่เราก็ไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้อหรือสังเวยชีวิตกันเลย...๐

ท.ศักดิ์