ทิศทางเศรษฐกิจปี 2561 ยังเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายจับตา และต่างประเมินกันว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังคงเดินหน้าขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ว่า จะเติบโตได้ประมาณ 4.1% ซึ่งแรงสนับสนุนหลักมาจากการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก โดยได้ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจโลกในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จากคาดการณ์เดิม ซึ่งถือเป็นตัวเลขการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ถือเป็นการเข้าสู่วัฏจักรการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยาวนานที่สุด
โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกนี้เอง มาจากแรงหนุนของการปรับตัวดีขึ้นของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและแรงกระตุ้นเพิ่มเติมจากกฎหมายการปรับลดภาษีและการส่งเสริมการจ้างงาน ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซน ยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า และจะเข้าสู่ช่วงการขยายตัวเต็มที่ของวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น
และด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวนี่เอง ได้เข้ามาสนับสนุนภาคการส่งออกของไทยในปี 2561 ด้วยเช่นกัน โดยในปีนี้ “สภาพัฒน์” คาดการณ์ว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นเป็น 6.8% จากคาดการณ์เดิมอยู่ที่ 5% เท่านั้น
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (งบกลาง) วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท การเพิ่มขึ้นของกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนตามกรอบงบประมาณปกติ และของรัฐวิสาหกิจ รวมไปถึงความคืบหน้าของแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มเข้าสู่กระบวนการก่อสร้างมากขึ้น ตรงนี้ทำให้มีการเบิกจ่ายเงินลงทุน ทำให้เกิดการหมุนเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเฉพาะเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประเด็นนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
เพราะตามแผนระยะเวลา 5 ปี โครงการลงทุนอีอีซีจะมีงบลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนไหลเข้ามาไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 4.99 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่จะเป็นเม็ดเงินที่มีประโยชน์ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อได้อย่างมีศักยภาพ โดยมีการประเมินว่า ภายหลังจากร่างกฎหมายดังกล่าวเดินหน้า จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ให้โตได้อย่างแข็งแกร่ง และจะเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสเติบโตได้ถึง 5% ซึ่งเป็นระดับที่เต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย
ส่วนปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อาทิ ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน เหล่านี้ถือเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2561 อย่างเต็มกำลัง
ขณะที่ “กระทรวงการคลัง” เองมองว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยได้โตเต็มศักยภาพแล้ว และปี 2561 จะเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยแรงหนุนสำคัญยังมาจาก “ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว” ที่ยังเป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนก็จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นตามภาคการส่งออกด้วยเช่นกัน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม อาทิ การลดลงของแรงขับเคลื่อนจากการขยายตัวของการผลิตภาคเกษตรในช่วงปรับเข้าสู่การขยายตัวปกติ และราคาสินค้าในตลาดโลก อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจโลก
อีกประเด็นที่อาจต้องติดตาม นั่นคือ “การลงทุนภาครัฐ” เพราะมีการคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีการชะลอลงจากคาดการณ์เดิม แต่จะยังดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา หากปัจจัยนี้ถูกปลดล็อกและเดินหน้าได้ ก็เชื่อว่าจะเป็นอีกตัวที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
ครองขวัญ รอดหมวน
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |