'จะคุยก็ได้ จะรบเราก็พร้อม' ข่มขู่ข่มเหงเราหรือ? อย่าได้ฝัน!


เพิ่มเพื่อน    

 

       เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนเข้าประเทศกว่า 5,000 รายการจาก 10% เป็น 25%  เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีในสัดส่วนเดียวกันกับสินค้าสหรัฐฯ เข้าจีน สงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ก็ระเบิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                สื่อทางการจีนก็ออกมาแสดงจุดยืนแทนรัฐบาลอย่างคึกคัก ด้วยภาษาและลีลาที่เข้มข้น ถึงขั้นมีการเอ่ยถึง "สงครามของประชาชน" (人民战争 หรือ people war) กันเลยทีเดียว

                บทนำของหนังสือพิมพ์ "ประชาชนรายวัน" ออกมาด้วยวาทะดุดันและขึงขังไม่น้อยด้วยวลีอย่างที่ผมเอามาให้ได้อ่าน

                ประโยคนี้แปลความได้ว่า "หากจะเจรจาก็เป็นไปได้ หากจะสู้รบกันเราก็พร้อม ส่วนจะมาข่มขู่รังแกเรานั้นก็อย่าได้เพ้อฝันเลย!"

                วลีที่สองน่าสนใจเป็นพิเศษ

                (เฟิ่ง) แปลว่ารับหรือให้ด้วยความนอบน้อมหรือเคารพ

                (เผย) แปลว่าร่วมด้วยหรือฝรั่งเรียกว่า accompany

                奉陪 (เฟิ่งเผย) รวมแปลว่าขอต่อสู้ด้วยความยินดีและด้วยความเคารพ

                ซึ่งอาจแปลได้ความว่า "หากแม้นท่านจะทำสงคราม เราก็พร้อมจะน้อมรับคำท้าด้วยความเคารพ"

                นี่ย่อมเป็นภาษาสุภาพในวงการบู๊ลิ้มที่ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง

                ยังไม่ทันที่การขึ้นภาษีต่อกันและกันจะหายความร้อนแรง โดนัลด์ ทรัมป์ก็ประกาศใช้ "อำนาจพิเศษทางบริหาร" ประกาศ "สถานการณ์ฉุกเฉินด้านเทคโนโลยี" อ้างว่าเพื่อปกป้องระบบอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐฯ จาก "การคุกคามของเทคโนโลยีต่างชาติ"

                ถึงขั้นใช้คำว่า "ศัตรูต่างชาติ" กันเลยทีเดียว

                คำประกาศนี้ไม่ได้ระบุชื่อประเทศหรือบริษัทต่างชาติ แต่ไม่ต้องอ่านระหว่างบรรทัดก็เป็นอันเข้าใจว่า เป็นการมุ่งเป้ากีดกันทางเทคโนโลยีต่อบริษัทหัวเว่ย และ ZTE ของจีน

                เพราะหลังจากทรัมป์ลงนามในคำสั่งนี้เพียงไม่กี่ชั่วโมง กระทรวงพาณิชย์ที่วอชิงตันก็ได้เพิ่มรายชื่อของบริษัทหัวเว่ย รวมถึงบริษัทในเครืออีก 70 แห่งไว้ในรายชื่อบัญชีดำ หรือที่เรียกว่า Anti-List "แอนตี้ลิสต์"

                ซึ่งเท่ากับเป็นการสั่งห้ามบริษัทเอกชนของสหรัฐทุกแห่งทำธุรกิจหรือใช้งานอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีใดๆ ของหัวเว่ยเด็ดขาด

                ไม่ต้องสงสัยว่าการขึ้นบัญชีดำหัวเว่ยครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มแรงกดดันจีนจากกรณีเจรจาสงครามการค้า

                แต่หากวิเคราะห์กันให้ลึก การกีดกันหัวเว่ยไม่ได้ส่งผลให้สหรัฐฯ มีความมั่นคงทางไซเบอร์มากขึ้น  เผลอๆ จะยิ่งทำให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยี 5G ของตัวเองล้าหลังและมีราคาแพงกว่าเดิม ไม่อาจจะแข่งกับจีนได้ด้วยซ้ำไป

                เมื่อมีคำประกาศอย่างนี้แล้วก็แปลว่าจากนี้ไปกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะดำเนินการออกกฎเฉพาะเพิ่มเติมภายใน 150 วัน ซึ่งคงจะมีการระบุมาตรการกีดกันหัวเว่ยในรายละเอียดต่อไป

                ขณะที่กรณีพิพาทระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง เรื่องการที่อเมริกาขอให้แคนาดาจับตัวลูกสาวซีอีโอของหัวเว่ยยังเป็นประเด็นร้อนๆ ที่คาราคาซังอยู่ด้วยซ้ำไป

                สี จิ้นผิงย่อมไม่อยากถูกประชาชนตัวเองมองว่ายอมก้มหัวให้ทรัมป์ อีกทั้งจีนยังเชื่อว่าทรัมป์ไม่ได้มีอำนาจต่อรองมากอย่างที่พยายามจะแสดงให้โลกได้เห็น

                เมื่อไม่นานมานี้ ผู้นำจีนคนนี้เคยแสดงจุดยืนเรื่องการเผชิญหน้ากับต่างประเทศที่พยายามกดดันจีนไว้อย่างน่าคิดว่า

                "เศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นดั่งมหาสมุทร มิใช่แค่สระน้ำเล็กๆ มหาสมุทรนั้นมีช่วงเวลาที่คลื่นลมสงบ อีกทั้งช่วงเวลาที่พายุฝนฟ้ากระหน่ำ ถ้าไม่มีพายุฝนฟ้ากระหน่ำก็ไม่ใช่มหาสมุทรแล้ว พายุฝนโหมกระหน่ำสามารถสร้างความหายนะให้แก่สระน้ำเล็กๆ ได้ แต่ไม่สามารถนำความหายนะมาสู่มหาสมุทรได้ ผ่านประสบการณ์ของพายุฝนกระหน่ำนับครั้งไม่ถ้วน มหาสมุทรก็ยังคงอยู่ ณ ที่นั้น 

                ผ่านประสบการณ์ที่ลำบากยากแค้นถึงกว่าห้าพันปี ประเทศจีนก็ยังคงอยู่ ณ ตรงนั้น เมื่อต้องเผชิญกับอนาคต ประเทศจีนจะคงอยู่ ณ ตรงนี้ตลอดไป"

                สองยักษ์ต่างจ้องตากันอย่างดุดัน ใครจะกะพริบตาก่อนย่อมเป็นประเด็นร้อนสำหรับคนทั้งโลก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"