ต้องยอมรับว่ายุคนี้เป็นยุคของการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่สามารถเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ ได้รวดเร็ว และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังผันตัวเป็น “เถ้าแก่” ธุรกิจเทคโนโลยี และทำได้ดีไม่แพ้กับเหล่าวัยรุ่น นั่นก็คือ กลุ่มคนวัยกลางคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ที่กำลังตื่นตัวและเข้ามามีบทบาทในแวดวงดังกล่าว ซึ่งในยุคที่พลเมืองสูงวัยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า ในปัจจุบันคนรุ่นเก่าตั้งแต่เจเนอเรชั่น Builders (อายุ 73+), Baby Boomers (อายุ 55-72) รวมถึง Gen X (อายุ 38-54) มีความตื่นตัวด้านนวัตกรรมไม่น้อยเลย ซึ่งในความเป็นจริง “ผู้ประกอบการรุ่นใหญ่” ก็มีแนวคิดการทำธุรกิจนวัตกรรมที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์สังคมไม่แพ้กับ “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่” อีกทั้งยังมาพร้อมกับประสบการณ์ และคอนเน็กชั่น ทำให้โมเดลธุรกิจของพวกเขานั้นมีความน่าสนใจ เป็นประโยชน์ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การสร้างคุณค่าให้กับสังคม ต่อเนื่องไปจนถึงการสร้างงานสร้างอาชีพ นอกจากนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกว่าอายุที่มากขึ้นไม่ใช่อุปสรรคหรือปัญหาในการเริ่มต้น เพราะเพียงแค่รู้จักสรรหาโอกาสและเติมช่องว่างที่ยังขาดก็สามารถประสบความสำเร็จได้ชนิดที่ไม่มีคำว่า “สายเกินไป”
“ผู้ประกอบการรุ่นใหญ่” ที่มีแนวคิดการทำธุรกิจนวัตกรรมเจ๋งๆ ไม่แพ้กับ “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่” โดยกลุ่มคนต้นแบบเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจาก NIA ที่น่าสนใจคือ “สตาร์ทอัพแดนใต้วัยเก๋า ผู้พัฒนาระบบเพาะพันธุ์ตัวอ่อนปลิงขาวบนบก พร้อมการจ้างงานกว่า 200 อัตรา”
นายลือพงษ์ อ๋องเจริญ ผู้ประกอบการจากบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีตรัง วัย 71 ปี เล่าว่า ได้พัฒนานวัตกรรมระบบปิดสำหรับการเพาะพันธุ์และเลี้ยงตัวอ่อนปลิงขาวบนบกแบบครบวงจรขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการลดลงของปลิงขาวซึ่งเป็นทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญของจังหวัดสตูล พังงา ระนอง และตรัง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในภาวะวิกฤติ ปริมาณที่ชาวประมงจับได้ลดลงไปถึง 90% เมื่อเทียบกับในอดีต สาเหตุมาจากทั้งขาดการอนุรักษ์ การเก็บมาจำหน่ายแบบไม่ควบคุม เนื่องจากราคาขายที่สูงถึงกิโลกรัมละ 2,500 บาท รวมถึงความต้องการในกลุ่มผู้บริโภคต่างชาติทั้งจีน ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน ที่นิยมบริโภคเพราะความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาโรคบางชนิดและการเพิ่มสมรรถทางเพศ
บริษัทจึงได้พัฒนานวัตกรรมดังกล่าวมาทั้งสิ้น 2 ปี โดยใช้วิธีการกระตุ้นให้เกิดการวางไข่ตามเวลาที่ต้องการ การกระตุ้นด้วยความร้อน การใช้ความกดดันน้ำ การใช้วิธีทำให้แห้ง และการกระตุ้นโดยใช้อาหาร ซึ่งควบคุมปัจจัยด้าน ความเค็มของน้ำ อุณหภูมิ แสง อาหารและวัฏจักรของดวงจันทร์ การเลี้ยงในระบบนี้จะเพิ่มอัตราการรอดของลูกปลิงขาวจากไข่ถึงลูกปลิงวัยอ่อนประมาณ 50% เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรารอด 0.01%-0.05% ในแหล่งน้ำทะเลธรรมชาติ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการปล่อยคืนสู่ทะเลเพื่อเพิ่มปริมาณปลิงขาวในทะเล เป็นทรัพยากรประมงพื้นถิ่นให้กับชาวประมงในพื้นที่ในอนาคต ก่อให้เกิดการจ้างงานได้กว่า 200 อัตรา และยังทำให้มูลค่าของปลิงขาวเพิ่มขึ้นเป็น 6,000-7,000 บาท/กิโลกรัมได้เลยทีเดียว
อีกตัวอย่างคือ “บิวดอน (Buildon) โปรแกรมประเมินศักยภาพพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน” ซึ่งนายฟูปัญญา ว่องไววิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวดอน จำกัด วัย 50 ปี กล่าวว่า บิวดอนมุ่งตอบโจทย์การปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าแพลตฟอร์มของหน่วยงานภาครัฐที่ใช้ในปัจจุบัน โดยอาศัยเทคโนโลยี Web/Mobile application มาช่วยคิดวิเคราะห์ระดมความคิด ประเมิน และระดมการลงทุนเพื่อยกระดับแหล่งโบราณคดี โดยได้นำร่องไปที่เมืองเก่าศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี ศาลากลางเดิม จังหวัดลำพูน และเมืองน่าน จังหวัดน่าน มุ่งตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาและปรับปรุงให้เกิดประโยชน์จากอัตลักษณ์ วัฒนธรรมของชุมชน โดยการใช้นวัตกรรมในการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถใช้สำหรับประเมินศักยภาพในเชิงพื้นที่ การระดมความคิดเห็นพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและสังคมและระดมทุนเพื่อหากำไรในอนาคต
เขายังให้ความเห็นอีกว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ซึ่ง 30 ปีที่ตนทำงานด้านนี้มา ได้เอาประสบการณ์โดยตรงจากการเป็นสถาปนิกอนุรักษ์มาปรับกับการพัฒนาธุรกิจให้ตอบสนองต่อความต้องการทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะถ้าไม่ใช่คนที่ทำงานด้านนี้โดยตรงก็จะไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงแก่นหรือไปถึงปัญหาในระดับที่จะสามารถตอบโจทย์ของโครงการได้จริงๆ นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบของการเป็นสตาร์ทอัพรุ่นใหญ่ที่ต่างจากสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ก็คือ การมีประสบการณ์ที่ตรงและยาวนานจะช่วยให้มองเห็นถึงปัญหาต่างๆ และนำมาแก้ไข ซึ่งแน่นอนว่าคนรุ่นใหม่จะต้องอาศัยเวลาในการหาประสบการณ์ต่างๆ การเรียนรู้ที่มีการผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะมีความเชี่ยวชาญ ส่วนคนที่เป็นรุ่นใหญ่หรือมีประสบการณ์แล้ว ก็จะสามารถจัดระเบียบ วางแผนการทำงานหรือการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า “ประสบการณ์ Recruit คนกว่า 20 ปี สู่ผู้พัฒนาแพลตฟอร์ม The Job ช่วยหางานง่ายเพียงปลายนิ้ว”
วิยะดา ฐานวีร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เดอะจ็อบ จำกัด วัย 50 ปี เผยว่า The Job เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้คุณหางานที่ใช่ด้วย “ระบบจับคู่งานอัจฉริยะ” แตกต่างจากแต่ก่อนที่เราต้องมานั่งเสิร์ชหางานเอง เพียงลงประวัติไปในระบบก็สามารถจับคู่งานที่เราต้องการ ไม่ใช่แค่คนที่หางาน แต่คนที่กำลังหาลูกจ้างก็สามารถหาลูกจ้างได้เช่นกัน โดยจะระบบจะหาและจับคู่ (Match) ทั้งลูกจ้างและงานที่เราอยากได้ไว้ด้วยกัน ซึ่งสามารถระบุความต้องการ โลเกชั่นในการทำในงาน และสามารถเสิร์ชหาทุกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับงานโดยไม่ขาดตกแม้แต่งานเดียว ทั้งนี้ ระบบของ The Job ยังช่วยให้การหางานไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของใครของมัน แต่ยังสามารถแชร์งานที่เราได้ให้กับเพื่อนๆ หรือแนะนำแชร์ข้อมูลต่างๆ ภายใต้โปรไฟล์ที่หน้าจะตาจะคล้ายๆ กับเฟซบุ๊กในการแชร์เรื่องราวการทำงาน สมัครงาน การเตรียมตัวหรือเป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้วิเคราะห์ว่า ใน 1 ปี จะมีเด็กจบใหม่อยู่ประมาณ 4 แสนคน ซึ่งระบบ The Job จะเข้ามาช่วยลดอัตราการว่างงานได้ถึง 20%
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โทรศัพท์ 0-2017-5555 เว็บไซต์ www.nia.or.th หรือ facebook.com/niathailand.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |