วันก่อนแฟนที่ติดตามรายการและคอลัมน์ประจำของผมท่านหนึ่งส่งรูปนี้มาให้ พร้อมข้อความว่า
"ผมเพิ่งกลับจากกวางโจวครับ จำที่คุณสุทธิชัยเคยพูดในรายการว่าจีนเจริญมาก แม้แต่ขอทานยังใช้ QR Code ผมแอบสงสัยมานาน จนไปเจอจริงๆ ครับ เลยถ่ายรูปมาให้ดูครับ...."
ใช่ครับ หลายๆ เมืองในจีนกลายเป็น "สังคมไร้เงินสด" หรือ cashless society อย่างจริงจัง เร็วกว่าจริงจังกว่าในอเมริกาและยุโรปด้วยซ้ำไป
ใครไปเมืองจีนในช่วงหลังๆ นี้จะเห็นว่าคนจีนกับเทคโนโลยีกำลังจะลุยไปข้างหน้าด้วยกันอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
สี จิ้นผิงเคยประกาศเป็นนโยบายระดับชาติว่า ความรู้ความสามารถของจีนทางด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์จะต้องแซงหน้าโลกตะวันตก (หมายถึงอเมริกาโดยเฉพาะ) ภายในห้าปีข้างหน้า
ในแง่เทคโนโลยีอย่างเดียว สหรัฐฯ คงจะยังนำจีนอยู่ในด้านนี้ แต่ของจริงต้องพิสูจน์ด้วยการนำมาใช้ในธุรกิจและชีวิตประจำวันของชาวบ้าน
ในแง่นี้จีนนำสหรัฐฯ ไปแล้วหลายขุม
เดิมที่เคยเชื่อว่าจีนล้าหลังในเรื่องเทคโนโลยีและเก่งแต่การลอกเลียนหรือขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของคนอื่นเขา
แต่วันนี้จีนก้าวกระโดดไปได้ไกลเกินกว่าที่คนทั่วไปเข้าใจแล้ว
เหตุผลสำคัญคือ แม้ว่าสหรัฐฯ และยุโรปจะนำหน้าในด้านการค้นคว้าวิจัยด้านเอไอ แต่จีนลัดขั้นตอนด้วยการเข้าสู่โหมดของการนำผลงานวิจัยมาทำเป็นธุรกิจ และก้าวข้ามขั้นตอนของการใช้ "ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน" มาใช้ข้อมูลมโหฬารหรือที่เรียกว่า Big Data เพื่อสร้างธุรกิจผ่านมือถืออย่างคึกคักคล่องแคล่ว
จีนสร้างระบบเก็บข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน social media อย่างเข้มข้นและกว้างขวาง เพราะคนจีนให้ความสนใจเรื่อง "สิทธิส่วนบุคคล" น้อยกว่าการได้สิทธิพิเศษด้านอื่นๆ จากบริการผ่านมือถือ
คำว่า Big Data จึงมีความสำคัญสำหรับการขยายตัวด้านธุรกิจบนมือถือสำหรับจีน เพราะเขาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างละเอียดและครบถ้วน
ข้อมูลส่วนบุคคลของคนจีนที่ใช้ social media จึงกลายเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าที่สุด เพราะสามารถนำมาทำธุรกิจต่อยอดได้อย่างมากมาย
ผมเคยถามแจ็ก หม่าแห่งอาลีบาบาว่า เขาใช้วิธีการใดในการตัดสินว่าคนขอกู้เงินผ่านมือถือควรจะได้รับอนุมัติหรือไม่
แกตอบทันทีว่า Big Data กำหนดทุกอย่าง เพราะระบบเอไอสามารถประเมินได้ว่าผู้บริโภคคนใดมีพฤติกรรมการใช้จ่ายอย่างไร และมีประวัติส่วนตัวในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างไร
ด้วยเทคโนโลยีที่ซื้อจากต่างประเทศและพัฒนาขึ้นเอง ธุรกิจยักษ์ด้านนี้ของจีนจะสามารถประเมินได้ค่อนข้างแม่นยำว่าใครมีความน่าเชื่อถือทางด้านเครดิตมากน้อยเพียงใด
ผมถามว่าเขาต้องใช้พนักงานเท่าไหร่จึงจะทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้
แกตอบว่า "ศูนย์"
ผมถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แกบอกว่าเอไอทำหน้าที่ได้หมดโดยไม่ต้องมีมนุษย์มาเกี่ยวข้องเลย ผมถามว่าเอไอใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะวิเคราะห์ "ความน่าเชื่อถือ" และ "ความน่าจะเป็น" ของผู้ขอกู้เงินผ่านมือถือได้
แกตอบว่า "ประมาณ 1 นาที ไม่เกินนั้น"
เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้จีนล้ำหน้าสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ก็คือ การตัดสินใจของรัฐบาลใช้นโยบายส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาธุรกิจด้านดิจิตอลอย่างเต็มที่ ไม่เหมือนโลกตะวันตกที่รัฐบาลปล่อยให้เรื่องนี้เป็นบทบาทของเอกชนเสียส่วนใหญ่
รัฐบาลจีนวางนโยบายเรื่องนี้ชัดเจน และเมื่อสั่งการจากรัฐบาลกลางแล้ว รัฐบาลท้องถิ่นทุกมณฑลก็แข่งกันดึงดูดนักลงทุนเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมกันสร้าง "สิ่งแวดล้อม" หรือ ecosystem ที่สอดคล้องกับการสร้างอุตสาหกรรมที่ทันสมัยใหม่ล่าสุดอย่างที่เห็นกัน
ไทยเราต้องเรียนรู้อะไรอีกเท่าไหร่จึงจะเข้าสู่โหมดที่ "พอจะแข่งกับเขาได้"?
เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |