ขณะที่เรากำลังหมกมุ่นอยู่กับความไม่แน่นอนของการเมืองไทย เพื่อนบ้านสมาชิกอาเซียนด้วยกันอย่างอินโดนีเซียกำลังก้าวกระโดดไปข้างหน้าพร้อมด้วยแผนงานยกระดับความสามารถในการแข่งขันที่น่าตื่นตาตื่นใจ
หากเรายังมัวแต่ทำตัวเหมือน “ไก่ตรุษจีน” หรือ “ปูในกระด้ง” และฟาดฟันกันและกันเพราะผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะคน อีกไม่ช้าไม่นานเราก็จะตกอยู่ในอันดับบ๊วย ๆ ของอาเซียน
อย่านึกว่าพูดเล่น ๆ นะครับ เพราะดูจากฝีเท้าของการเร่งสตีมเพื่อนบ้านอย่างอินโดฯ, เวียดนามและแม้แต่พม่าและกัมพูชาแล้ว ไทยเรากำลังกลายเป็นเต่าที่คลานช้ากว่าใคร ๆ เขาอย่างปฏิเสธไม่ได้
อินโดนีเซียมีปัญหาเมืองหลวงจาการ์ต้าแออัดยัดเยียดหนัก ผู้คนอดรนทนไม่ไหวกับคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำ ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด้ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งได้อยู่ในตำแหน่งสมัยที่สองกำลังเดินหน้าจะสร้างเมืองหลวงใหม่อย่างจริงจัง
หลังเลือกตั้งไม่กี่วัน รัฐบาลอินโดฯก็ประกาศว่ากำลังจะลงมือทำให้ประเทศของเขาเป็น “ฮับ” ของการผลิตทางอุตสาหกรรมที่เทียบเคียงกับเยอรมันและเกาหลีใต้
และตั้งเป้าว่าจะไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับจีนในอุตสาหกรรมบางด้านที่เขาสามารถปรับปรุงคุณภาพให้แข่งขันในระดับโลกได้
ผู้นำอินโดฯประกาศว่าเขาจะกลายเป็น “ศูนย์แห่งการผลิตทางอุตสาหกรรมของอาเซียน”
หมายความว่าเขาต้องการเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียนในการผลิต
ไม่ต้องตีความให้ยากก็พอจะเห็นว่าเขาไม่ได้คิดว่าประเทศไทยเป็นคู่แข่งในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป
“โจโกวี” ไม่เห็นไทยเป็นคู่แข่งเพราะเขามองว่าเขาจะต้องเป็นประเทศในระดับสากล แข่งกับประเทศที่พัฒนาอยู่ในแถวหน้าแล้ว
เขาจะทำอย่างไร?
รัฐมนตรีอุตสาหกรรมของเขาที่ชื่อแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โตประกาศวันก่อนว่ารัฐบาลอินโดฯจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และแก้ไขกฎหมายแรงงานเพื่อสร้างให้ประเทศกลายเป็น “ฮับแห่งการผลิตอุตสาหกรรม” ที่สามารถแข่งขันกับเยอรมันและเกาหลีใต้
ไม่เห็นเขาบอกว่าเขาจะแข่งกับไทย ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าในช่วงหลังนี้อินโดฯ สามารถชักชวนให้นักลงทุนต่างชาติที่ควรจะมาลงทุนในไทยไปจำนวนหนึ่ง
แผนงานสำหรับปี 2025 หรืออีก 15 ปีข้างหน้าที่ชัดเจนคือจะกระตุ้นให้ผลผลิตด้านอุตสาหกรรมของเขาที่ทุกวันนี้อยู่ที่ 20% ของเศรษฐกิจภาพรวมไปอยู่ที่ 25%
โดยเน้นที่อุตสาหกรรมรถยนต์, เคมี และอิเล็กทรอนิกส์
เป้าหมายแรกคือเพิ่มความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมหลักที่สามารถยกระดับคุณภาพให้แข่งขันได้ในระดับโลก
ผลที่ตามมาคือ การเพิ่มการส่งออก ซึ่งจะทำให้ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
พูดง่ายๆ คือ เมื่อสามารถผลักดันให้อุตสาหกรรมหลักของตนมีประสิทธิภาพระดับสากลแล้ว เศรษฐกิจภายในของประเทศก็จะแข็งแกร่ง และปากท้องประชาชนก็จะกระเตื้องขึ้น
ภายใต้แผนนี้ อินโดฯ จะมุ่งผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุด
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือสินค้าปิโตรเคมีที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนแข่งกับเขาไม่ได้
เศรษฐกิจของอินโดนีเซียในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 5% แม้ว่าประธานาธิบดีโจโกวีจะเคยรับปากว่าจะดันให้ได้ 7% แต่ดูเหมือนว่าการจะบรรลุเป้านี้ได้จะต้องปรับแผนการระดับชาติจากนี้ไปอีก 15-20 ปี
หัวใจของการขับเคลื่อนครั้งใหม่คือ การเปลี่ยนจากการส่งออกวัตถุดิบจากเกษตรกรรมไปเป็นการแปรรูปให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้น
นั่นหมายความว่า รัฐบาลต้องมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญทางการเมืองที่จะปรับและเปลี่ยนกติกาให้เกิดความชัดเจน
เขาจะเริ่มด้วยการผ่อนปรนรายการต้องห้ามสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เรียกว่า negative investment list ซึ่งที่ผ่านมากำหนดเพดานการถือหุ้นของต่างชาติในธุรกิจหลายร้อยประเภท
จากนั้นก็จะปรับแก้แรงจูงใจด้านภาษีสำหรับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติให้มากกว่าที่ผ่านมา
อีกด้านหนึ่งคือ การแก้ไขกฎหมายและกติกาว่าด้วยแรงงานในประเทศเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
บ้านเรายังไม่ได้ยินแผนการชัดเจนเกี่ยวกับการก้าวเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า แต่รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดฯ ประกาศวันก่อนว่า
ภายในปี 2025 รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่จะมีจำนวนเท่ากับ 20% ของทั้งหมด
และเขาระบุเลยว่า บริษัทรถยนต์ต่างชาติใดจะเข้าร่วมโครงการเพื่อทำให้เป้าหมายนั้นเป็นความจริง
ไม่ว่าจะเป็น Toyota, Mitsubishi ของญี่ปุ่นกับ BYD และ Wuling Motors ของจีน
ชัดเจนไหมครับ?
ไทยเราอยู่ตรงไหนของสมการนี้ครับ?.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |