กกร.จัดทำสมุดขาวชงรัฐบาลใหม่ ก.ค. เร่งขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้การซื้อขายไทยส่อแววชะลอตัว หวั่นส่งผลกระทบมากขึ้น ยังคงเป้าจีดีพี 4% กนง.เอกฉันท์ตรึงดอกเบี้ย 1.75% ต่อปี ประเมินศก.โตต่ำว่าคาดการณ์ ปลัดคลังมั่นใจพื้นฐานยังแกร่ง
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท., สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่าภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกครั้ง หลังจากจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคออกมาโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ทั้งเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หากไม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จะยิ่งส่งผลกระทบมากยิ่งขึ้น
“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการส่งออกยังคงถูกกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้ กกร.ยังคงกรอบประมาณการเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยปี 62 ไว้ตามเดิม โดยการส่งออกคาดว่าขยายตัว 3-5% จากปีที่ผ่านมาขยายตัว 6.7% ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี คาดว่าขยายตัวประมาณ 3.7-4% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.8-1.2% โดย กกร.จะติดตามใกล้ชิดเพื่อประเมินเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งในเดือน ก.ค.62 โดยยอมรับว่าหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนรุนแรงขึ้น และลากยาวต่อเนื่อง อาจกระทบส่งออกให้หลุดต่ำกว่า 3% ได้ ดังนั้นรัฐคงจะต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อรองรับ” นายสุพันธุ์ระบุ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 10 ที่ผ่านมา เป็นพระราชพิธีที่มีความสวยงาม และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก สร้างความสนใจให้กับคนทั่วโลก มั่นใจว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นแน่นอน
นอกจากนี้ กกร.ได้จัดตั้งคณะทำงานจัดทำสมุดปกขาว (ไวท์เปเปอร์) เสนอรัฐบาลใหม่ประกอบการพิจารณาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ คาดว่าแล้วเสร็จ มิ.ย. และยื่นเสนอได้ในเดือน ก.ค.นี้ โดยข้อเสนอหลักเบื้องต้น เช่น ขอให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ทุก 3 เดือน เพื่อออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังจากไม่มีการประชุมมานานแล้ว รวมทั้งเร่งดำเนินการความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (อีส ออฟดูอิงบิสซิเนส) และการเสนอปัญหาเรื่องค่าแรง ซึ่งต้องการให้ลอยตัว ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไตรภาคีส่วนกลางและต่างจังหวัด
"ตอนนี้ ส.อ.ท., สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ต่างมีสมุดปกขาวที่จัดทำเองแล้วก็จะนำมาประกอบรวมกันเพื่อเสนอรัฐบาลใหม่ ซึ่งมอบให้คณะทำงาน กกร. ที่ตั้งไว้รวบรวมเพื่อจัดทำสมุดปกขาวของ กกร.เสนอรัฐบาลใหม่ ก.ค.นี้” ประธาน ส.อ.ท.กล่าว
วันเดียวกัน นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กนง. ว่า ที่ประชุม กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากการส่งออกและการลงทุน โดยการส่งออกชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก รวมทั้งผลของมาตรการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะเดียวกันการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาด มาจากความล่าช้าในโครงการลงทุน ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับอุปสงค์ในประเทศ ที่การบริโภคเอกชนขยายตัว
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ โดยเครื่องชี้ล่าสุดในไตรมาส 1/2562 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ทั้งในด้านการส่งออกและการลงทุน ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนในระยะต่อไป จากความเสี่ยงทั้งปัจจัยต่างประเทศจากมาตรการกีดกันทางการค้า และปัจจัยในประเทศคือปัญหาการเมือง ที่มีหลายมิติให้ติดตาม ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐและการออกนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้ในที่ประชุม กนง.มีการประเมินว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้
“แนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จะส่งผลให้ กนง.พิจารณาใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอีกต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย ณ ขณะนั้น โดย กนง.จะพิจารณาจากข้อมูล (Data Independent) เป็นครั้งๆ และประเมินสถานการณ์ออกในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้กำหนดนโยบายการเงินในระยะต่อไป” เลขานุการ กนง.ระบุ
อย่างไรก็ตาม ภาวะการเงินที่ผ่านมาอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำ ภาคเอกชนยังสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง โดยสินเชื่อขยายตัวทั้งในส่วนสินเชื่อธุรกิจและอุปโภคบริโภค ด้านอัตราแลกเปลี่ยนนับจากการประชุมครั้งก่อน เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินในสกุลภูมิภาค ในระยะข้างหน้าอัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ จะต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ กนง.ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางให้เสถียรภาพการเงินในอนาคต ยังต้องติดตามการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ รวมทั้งการก่อหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แม้แรงส่งจากอุปสงค์ต่างประเทศจะชะลอตัวลง ซึ่ง กนง.เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในปัจจุบันยังมีความเหมาะสม โดยจะต้องติดตามพัฒนาการการขยายตัวเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินอย่างใกล้ชิด
ทางด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ว่า ยังอยู่ในกำหนดการเดิม และเชื่อว่าจะเป็นผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ในระยะต่อไป
ส่วนกรณีความขัดแย้งด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง ที่ผ่านมารัฐบาลได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่อาจรุนแรงและมีความไม่แน่นอน โดยการสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยเชื่อว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะยังคงขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังประเมินไว้ที่ 3.4% เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปสหรัฐ ในสัดส่วนที่ลดลง ขณะที่การส่งออกไปจีน แม้จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่น่ากังวล
ขณะเดียวกัน ภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงแข็งแกร่ง มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังไทยอย่างต่อเนื่อง ส่วนการบริโภคภายในประเทศเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลังรัฐบาลมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 จึงทำให้เชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 3.8%.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |