คนไทยสนใจเมืองจีนมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกันทางการจีนก็ปรับเปลี่ยนนโยบายอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยใหม่ๆ ที่กระทบจีนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
ความจริง ในแง่การไปลงทุนและทำธุรกิจกับประเทศนี้ เขามิได้มีเพียง “จีนเดียว” โดยเฉพาะในแง่ของกฎกติกาและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แต่จีนแต่ละมณฑลมีความแตกต่างกันในรายละเอียดมากมายหลายด้านที่คนไทยจะต้องทำความเข้าใจตลอดเวลา
วันก่อนผมได้อ่านรายงานที่น่าสนใจว่าด้วย “ดัชนีวัดศักยภาพทางเศรษฐกิจระดับ 30 หัวเมืองของจีน” ซึ่งเป็นผลการศึกษาของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
ที่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะรายงานนี้จะช่วยเพิ่มเครื่องมือการวิเคราะห์ตลาดจีนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถแข่งขันกับคนอื่นที่เกาะติดข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
แกนสำคัญของเศรษฐกิจจีนมิได้อยู่เพียงแค่เซี่ยงไฮ้, กว่างโจว, ปักกิ่งอีกต่อไป แต่ยังอยู่ที่หัวเมืองต่างๆ ที่สำคัญเศรษฐกิจของหัวเมืองสำคัญของจีนมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะรัฐบาลจีนมีการกระตุ้นและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
มีทั้งนโยบายมหภาคจากการผ่อนคลายเครื่องมือทางการเงินและการคลัง
ตามมาด้วยนโยบายกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
อีกทั้งยังมีนโยบายการปรับภาพลักษณ์ของประเทศ
การผ่อนคลายกฎระเบียบในการเข้าตลาดจีนของต่างชาติ ผ่านการแก้กฎหมายร่วมค้า-การลงทุนระหว่างประเทศ และปรับลดรายการข้อจำกัดหรือข้อห้ามสำหรับการลงทุน (Negative list) ที่นักธุรกิจไทยจะต้องสนใจและศึกษา
รายงานนี้จัดทำดัชนีวัดศักยภาพทางเศรษฐกิจระดับหัวเมืองของจีน โดยใช้ปัจจัย 2 ด้านหลัก คือ
• ด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ได้แก่ มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม จำนวนประชากร รายได้ต่อหัวต่อปี และขนาดของสนามบิน โดยวัดจากความสามารถในการรองรับจำนวนผู้โดยสาร
• ด้านนโยบายที่จะทำให้เกิดพลวัตทางเศรษฐกิจ เช่น
(1) จำนวนเมืองที่เป็นศูนย์กลางหรือจุดขนส่งคนและสินค้าของ 6 เส้นทางบก และ 1 เส้นทางทะเล ในโครงการ “Belt and Road Initiative”
(2) 12 เมืองที่มีนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทคนเดินทางผ่านสำหรับระยะเวลาไม่เกิน 144 ชั่วโมง (144-Hour Visa-Free Transit in China)
(3) 37 เมืองต้นแบบที่ดำเนินนโยบายการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน (China's Cross-Border E-commerce)
(4) เมืองที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการกระจายอำนาจจากเมืองศูนย์กลางความเจริญสู่เมืองรอบข้าง ภายใต้นโยบาย 13 อภิมหานคร (China’s 13 magalopolises)
(5) 81 เขตเศรษฐกิจพิเศษ (China’s special economic zones)
รายงานนี้บอกด้วยว่า
“จากการคำนวณดัชนี ซึ่งเป็นคะแนนเชิงเปรียบเทียบจากมากสุดไปน้อยสุด พบว่า 4 เมืองสำคัญของจีน เช่น มหานครเซี่ยงไฮ้ มหานครปักกิ่ง เมืองเซิ่นเจิ้น และเมืองกว่างโจว อยู่ในลำดับ 1-4 ตามลำดับ ส่วนเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในอับดับต้นๆ ได้แก่ มหานครเทียนสิน มหานครฉงชิ่ง เฉิงตู อู่ฮั่น ชิงเต่า และซูโจว ตามลำดับ ซึ่งส่วนมากอยู่ทางฝั่งตะวันออกของจีน ส่วนหัวเมืองในภาคอื่นๆ เช่น ซีอาน (อันดับที่ 13) คุนหมิง (อันดับที่ 14) ต้าเหลียน (อันดับที่ 16) และฉางชา (อันดับที่ 17) เป็นต้น
การเติบโตของเมืองเหล่านี้ จะเป็นโอกาสดีที่ผู้ส่งออกไทยจะกระจายการส่งออกไปหัวเมืองในภูมิภาคต่างๆ ของจีนมากขึ้น โดยสินค้าที่เป็นที่นิยมและมีศักยภาพของไทย เช่น อาหาร อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารออร์แกนิก อาหารทะเล และอัญมณี เป็นต้น รวมทั้งผลไม้เมืองร้อน ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากของผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะทุเรียน มังคุด ลำไย และมะพร้าวน้ำหอม ขณะที่ปัจจัยด้านรายได้ต่อหัวที่ปรับตัวสูงขึ้นของแต่ละเมืองยังทำให้อำนาจซื้อและรสนิยมการบริโภคเปิดกว้างมากขึ้น ประกอบกับการค้าขายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนที่ขยายตัวสูงด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีท่าทีผ่อนคลายการนำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น การปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดกว้าง (改革开放หรือ Reform and opening-up) กำลังจะนำไปสู่การเปิดประตูสู่หัวเมืองต่างๆ ของจีนครั้งสำคัญ”
การรู้เท่าทันกับข้อมูลและการปรับตัวให้ทันการณ์ของผู้ประกอบการไทยเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถแข่งขันกับใครๆ เขาได้ในโลกที่ไม่มีอะไรอยู่นิ่งแม้แต่วันเดียว.
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |